พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า    พระองค์เป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา เป็นผู้ซึ่งคริสตชนทั่วโลกกว่าหนึ่งพันล้านคนนมัสการว่าเป็นพระเจ้า หากจะพูดว่า “คริสต์ศาสนาคือพระเยซูคริสต์” ก็ไม่ผิด เพราะคริสตชนนมัสการตัวบุคคลที่ชื่อว่าเยซูคริสต์ และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาเกิดในสภาพมนุษย์

ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสต์ศาสนา

ตอบได้ว่า สำคัญมาก สำคัญพอ ๆ กับความอยู่รอดของคริสต์ศาสนาทีเดียว เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าตามที่พระองค์อ้างไว้ หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะกระทำแล้ว คริสต์ศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสต์ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกพกลม แต่ขณะเดียวกัน หากเราสามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และประสบการณ์จากชีวิตจริงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์จริง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น       “พระเจ้ามี จริงหรือ”    “พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร”    “มนุษย์คือใคร”    “อยู่เพื่ออะไร” “กำลังจะไปไหน”     เป็นต้น เพราะพระเยซูคริสต์ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฎชัดแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าดังที่พระองค์อ้างจริง ๆ คำสอนของพระองค์ก็ต้องเป็นความจริง

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกการแสวงหาของมนุษย์ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตในรูปของศาสนาต่างๆ ความหิวกระหายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ผลักดันให้มนุษย์ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวนมัสการ เขาจึงแสวงหา และแสวงหา ศาสนาต่างๆจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ คือแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า พระเจ้าในคริสต์ศาสนากลับเป็นผู้แสวงหามนุษย์และยังได้สำแดงพระองค์เองให้ประจักษ์แก่ตามนุษย์ โดยทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่สมบูรณ์

สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใกล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้น และกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร? วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

เรื่องการเกิดของพระเยซูคริสต์มิใช่นวนิยาย มิใช่เรื่องราวที่มนุษย์แต่งขึ้น

แต่เป็นชีวิตจริงที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน คือ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์เกิดที่ตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ “เบธเลเฮม” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ในประเทศอิสราเอล พระองค์เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน บิดาเป็นช่างไม้ ชื่อ โยเซฟ มารดาชื่อ มารีย์ ทั้งสองสืบเชื้อสายจากอดีตกษัตริย์ของชาวยิว คือ กษัตริย์ดาวิด ชีวิตในวัยเด็ก และวัยหนุ่มของพระเยซูก็เหมือนสามัญชนทั่วไป ไม่มีการบันทึกไว้มากนัก จนพระองค์เริ่มพระราชกิจของพระองค์เมื่ออายุได้ 30 ปี จึงมีบันทึกเรื่องราวชีวิต และคำสอนของพระองค์ไว้ในประวัติศาสตร์     พระองค์ทรงกรำพระราชกิจ และสั่งสอนประชาชนอยู่ได้เพียง 3 ปี แต่เป็น 3 ปีที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก เรื่องราวที่ละเอียดกว่านี้หาอ่านได้จาก เอกสารชีวประวัติของพระเยซู ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ช่วงพระกิตติคุณ  มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น  ในบันทึก และคำอ้างอิงของนักประวัติศาสตร์โลก เช่น Flavius Josephus (นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 1 เกิด ค.ศ. 37) และ Plinius Secundus (นักประวัติศาสตร์โรมัน ค.ศ. 120) เป็นต้น  แม้แต่สารานุกรมอันเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วโลกฉบับล่าสุด ที่ชื่อว่า Encyclopaedia Britannica ก็ได้บรรยายถึงเรื่องราวชีวิตของพระเยซูด้วยถ้อยคำถึงสองหมื่นคำ นี่ย่อมแสดงถึงความสำคัญ และความจริงแห่งชีวิตอันน่าเชื่อถือของพระเยซูคริสต์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์

คำยืนยันที่โลกต้องตะลึง

ดังได้กล่าวไว้ในบทนำว่า พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า และคำอ้างนี้ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจหลักของพระองค์เราสามารถสรุปสาระสำคัญของภารกิจที่พระเยซูคริสต์กระทำอย่างสั้น ๆ ได้ว่า “พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อนำมนุษย์ให้เข้าถึงพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน” ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” “ (ยอห์น 14:6-7)

เพราะความสำคัญของภารกิจนี้ พระเยซูทรงต้องการให้สาวกเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับตัวพระองค์ จึงได้ถามว่า “ท่านคิดว่าเราคือใคร” และเมื่อสาวกคนหนึ่งที่ชื่อซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” แทนที่พระเยซูจะตกใจในคำตอบของสาวกผู้นั้น พระองค์กลับกล่าวชมเชยว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” (มัทธิว 16:15-17)

” ใช่แล้ว พระเยซูคริสต์อ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นคำอ้างที่โลกต้องตะลึง ” อยากให้เราพิจารณาคำอ้างของพระเยซูคริสต์ ซึ่งกล่าวถึงพระองค์เอง ดังต่อไปนี้

พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นบุคคลคนเดียวกันกับพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ตามคำบันทึกในพระคัมภีร์ เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสเช่นนี้ ทำให้พวกยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวยอมรับไม่ได้ พวกเขาตั้งใจจะฆ่าพระองค์ โดยจะหยิบก้อนหินขว้างพระองค์ แต่พระองค์ถามพวกเขาว่า “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า” พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:32-33)

อีกตอนหนึ่ง ขณะที่พระเยซูถูกพิพากษาในศาลทางศาสนาของชาวยิวนั้น พระองค์ยอมรับความเป็นพระเจ้าของพระองค์อย่างชัดเจน ตามคำบันทึกในมาระโก 14:61-64 “แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด ท่านมหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า ‘ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ควรแก่การนมัสการหรือ’ พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็นและท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพและเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า ‘เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร’ คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกันว่าควรจะมีโทษถึงตาย” (มาระโก 14:61-64) น่าสังเกตว่า ชาวยิวเป็นพวกที่นมัสการพระเจ้าองค์เดียว ฉะนั้น ปฏิกิริยาที่ชาวยิวแสดงออกมาด้วยความโกรธ หลังจากที่ได้ยินได้ฟังคำอ้างของพระเยซูคริสต์ แสดงว่าพวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ผิดพลาดว่า “พระเยซู อ้างว่าตนเองเป็นพระเจ้า”

พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต และเป็นผู้ประทานชีวิต แม้กระทั่งชีวิตหลังความตาย”

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” (ยอห์น 14:16-17)

และยังตรัสอีกว่า “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)

โปรดสังเกตว่า พระองค์ไม่ได้บอกว่า “เรารู้จักหนทางสู่ชีวิต” แต่ตรัสว่า “เราคือชีวิต และเป็นผู้นั้นที่สามารถประทานชีวิต” ฉะนั้น ถ้าผู้ใดรู้สึกเบื่อชีวิต เขาสามารถจะพบกับความครบบริบูรณ์ในชีวิต คือชีวิตที่มีความหมายในพระองค์ ขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เสียใจที่ลาซารัส น้องชายของเธอตายไป พระเยซูคริสต์ได้กล่าวคำพูดอมตะ ในฐานะผู้กุมอำนาจแห่งความตายว่า “ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:25-26)

“มีคนธรรมดาคนใดหรือที่กล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้”

พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์คือผู้พิพากษามนุษย์ ในวันสิ้นสุดของโลก”

พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนว่า “เพราะว่า พระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (ยอห์น 5:22)

และเมื่อวันสิ้นสุดของโลกมาถึง บรรดาคนที่ตายแล้วก็จะกลับเป็นขึ้นมา เพื่อรับการพิพากษาจากพระองค์ และรับผลอันควรสำหรับแต่ละคน บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่บางคนจะได้ยินพระสุรเสียงที่น่ากลัว ตรัสสั่งว่า “พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น” (มัทธิว 25:41)

และที่สำคัญกว่านั้น คือ เงื่อนไขแห่งการพิพากษา ขึ้นอยู่กับท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระองค์ ดังคำตรัสว่า

“เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 10:32-33)

อยากให้คุณพิจารณาคำอ้างที่เกินมนุษย์นี้สักนิด
สมมติว่า ถ้าวันนี้มีใครสักคนยืนขึ้น แล้วประกาศต่อสาธารณชนว่า เขาคือผู้ที่จะกลับมาในฐานะผู้พิพากษาโลก และชะตากรรมของเราขึ้นอยู่กับว่า จะเชื่อฟังคำพูดของเขาหรือไม่ คุณจะมีความเห็นต่อคนที่กล่าวคำพูดนี้อย่างไร คุณคงคิดว่าคนนี้น่าจะไปอยู่โรงพยาบาลบ้านสมเด็จ ฯ มากกว่า หรือไม่ก็ควรไปหาจิตแพทย์

เราจะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เมื่อศึกษาถึงบทวิเคราะห์คำอ้างของพระเยซูคริสต์ จุดประสงค์ของการยกขึ้นมากล่าวในที่นี้ เพียงเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ได้อ้างว่าพระองค์คือผู้พิพากษามนุษย์โลกจริง ซึ่งเป็นคำอ้างที่เราต้องสนใจเป็นพิเศษ

พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นผู้มีสิทธิอำนาจในการยกความผิดบาปของมนุษย์ได้”

คงไม่เกินความจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า ไม่มีศาสดาคนใดในโลก ที่กล้าให้ความมั่นใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจะสามารถยกความบาป หรือลบล้างความผิดบาปของทุกคนที่ติดตามเขาได้ เรามักได้ยินคำสอนว่า “บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ” แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวที่กล้ากล่าวว่า พระองค์ทรงสามารถยกบาปผิดมนุษย์ได้

“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1ยอห์น 1:9)

ครั้งหนึ่ง มีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาเพื่อให้พระเยซูคริสต์รักษา พระเยซูคริสต์ตรัสกับคนง่อยผู้นั้นว่า
“ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มาระโก 2:5) พวกผู้นำศาสนายิวในสมัยนั้นได้ยิน ก็รู้สึกไม่พอใจ จึงกล่าวว่า “ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะยกความผิดบาปได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”

ถูกแล้ว เราเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ใครจะยกความผิดบาปของมนุษย์ได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น พระเยซูคริสต์ทรงอ้างว่า พระองค์คือพระเจ้า ที่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ และของคุณได้

พระเยซูคริสต์อ้างว่า “ท่าทีของมนุษย์ต่อพระองค์ ก็คือท่าทีต่อพระเจ้า”

โปรดสังเกตคำพูดต่อไปนี้ของพระองค์

ผู้ที่เห็นเรา ก็เท่ากับเห็นพระเจ้า

“และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 12:45)

“ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น’ ” (ยอห์น 14:9)

ผู้ที่รู้จักเรา ก็รู้จักพระเจ้า

“ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” (ยอห์น 8:19)

“ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” (14:7)

ผู้ที่เชื่อเรา ก็เชื่อพระเจ้า

“และพระเยซูทรงประกาศว่า ‘บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 12:44)

ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระเจ้า

“ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียว แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย” (มาระโก 9:37)

ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระเจ้า

“ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย” (ยอห์น 15:23)

เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์ เรามีท่าทีอย่างไรต่อพระองค์ ก็เท่ากับมีท่าทีอย่างนั้นต่อพระเจ้าด้วย

บทวิเคราะห์คำอ้างของพระเยซู

คำอ้างที่ยิ่งใหญ่เกินลักษณะธรรมดาของมนุษย์ เป็นคำท้าทายสำคัญที่เราทุกคนควรสนใจเป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเรา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อวิเคราะห์คำอ้างของพระเยซูคริสต์แล้ว เราสามารถสรุปแนวทางที่เป็นไปได้ของคำอ้างนี้อย่างน้อย 3 ประการ คือ

คำอ้างเป็นความเท็จ

ผู้ที่มีความเห็นว่า สิ่งที่พระเยซูสอน หรือตรัสนั้น เป็นความเท็จ เขาย่อมจะต้องพยายามหาเหตุผล หรือหลักฐานมายืนยันคำกล่าวของเขา แต่ผู้เขียนคิดว่าเขาคงต้องพบปัญหาหนัก เพราะยากที่ใครจะหาเหตุผลทำนองนั้นมาสนับสนุนคำกล่าวหาของเขาได้

อย่างไรก็ตาม ขอให้เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้กันโดยละเอียด สมมติว่า สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสมาทั้งหมดนั้นเป็นความเท็จจริง ๆ ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้อีก 2 ทาง คือ พระองค์รู้ว่าพระองค์กล่าวเท็จ หรือ พระองค์ไม่รู้ว่าพระองค์กล่าวเท็จ

ก. พระองค์รู้ว่าพระองค์กล่าวเท็จ
หากพระองค์กล่าวเท็จทั้งที่รู้ ก็แสดงว่าพระองค์ตั้งใจโกหก และเป็นนักโกหกระดับโลก หรือเราอาจประณามพระองค์ เป็นปิศาจจอมกะล่อนก็ไม่ผิด เพราะพระองค์หลอกลวงคนทั้งโลก

หรือเราอาจสรุปว่าพระองค์เป็นคนโง่อย่างยิ่ง เพราะผลสุดท้าย ผู้นำสมัยนั้นได้ประหารชีวิตของพระองค์เสีย ซึ่งเท่ากับว่าพระองค์ยอมตายเพื่อคำโกหกที่ตนเองปั้นแต่งขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ใครๆก็รู้ว่าเป็นการกระทำที่โง่สิ้นดี

แต่คงมีน้อยคนนักที่เห็นด้วยว่าพระเยซูคริสต์เป็นคนโง่ เพราะโดยทั่วไปแล้ว แม้คนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ก็ยังยอมรับ และยกย่องว่าพระองค์เป็นบรมครู และเป็นนักสอนศีลธรรมชั้นเยี่ยม แม้คุณเองก็อาจจะยอมรับพระองค์ในลักษณะเดียวกัน

แต่น้อยคนจะตระหนักว่า การยอมรับพระองค์เป็นบรมครูโดยที่ไม่ยอมรับความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เป็นการขัดแย้งกันเอง เพราะพระเยซูคริสต์จะเป็นบรมครูได้อย่างไรกัน หากพระองค์จงใจโกหกในส่วนสำคัญที่สุดของคำสอนของพระองค์ นั่นก็คือ การประกาศว่าตนเองเป็นพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น

ซี เอส ลิววิส นักวรรณกรรมผู้ยิ่งใหญ่ และอดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ให้ทรรศนะที่น่าฟังในเรื่องนี้ว่า เขาพยายามห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องของพระเยซูอย่างเหลวไหล เช่น พูดว่า “ข้าพเจ้ายอมรับว่าพระเยซูเป็นอาจารย์สอนศีลธรรมที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับคำอ้างที่ว่าท่านเป็นพระเจ้า” ข้อนี้อย่าพูดดีกว่า เพราะถ้ามนุษย์ธรรมดาคนใดพูดอย่างที่พระเยซูพูดนั้น เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ หรือนักสอนศีลธรรมสำคัญอะไรเลย

คุณต้องเลือกเอาข้างหนึ่ง คุณเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า หรือเป็นคนวิกลจริต ถ้าคุณเชื่ออย่างแรก คุณก็จะต้องกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ และยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้า

แต่ถ้าคุณเชื่ออย่างหลัง คุณก็จะกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นคนอย่างไรก็ได้ แต่ขออย่าได้พูดว่าพระองค์เป็นเพียงนักสอนศาสนาที่สำคัญเท่านั้น เพราะพระองค์ไม่ได้มีพระประสงค์เพียงเท่านั้นเลย

ข. พระองค์ไม่รู้ว่าพระองค์กล่าวเท็จ

นั่นเท่ากับว่า พระเยซูคริสต์เข้าใจตนเองผิดถนัด สำคัญตนว่าเป็นพระเจ้าทั้งที่ไม่ได้เป็น พระองค์ก็เข้าข่ายคนเสียสติ หรือวิกลจริต คล้ายกับคนไข้โรคจิตในโรงพยาบาลประสาท ซึ่งหลายคนในนั้นชอบอ้างว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือผู้มีชื่อเสียงคนโน้น คนนี้

แต่ถ้าเราพิจารณาจากชีวิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์ และคำสอนอมตะที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม อีกทั้งผลงาน ตลอดจนคุณงามความดีที่ประจักษ์แก่ชาวโลกทุกยุคทุกสมัยแล้ว ย่อมเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า พระองค์ไม่ได้เป็นคนเสียสติแต่อย่างใด

ยิ่งถ้าได้ศึกษาชีวิตของสาวกที่ใกล้ชิดพระองค์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจในข้อนี้มากขึ้น เพราะคนที่ติดตามคนบ้า จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากบ้าเหมือนกัน แต่ชีวิตของสาวกพระเยซูคริสต์ส่อถึงความเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ซื่อสัตย์ เสียสละ มีอุดมการณ์ที่แน่ชัด ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความจริงที่ตนยึดถือ เราทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้จากประวัติศาสตร์สากล และจากประวัติศาสตร์คริสตจักรด้วย

โดยเหตุผลดังกล่าว เราจึงไม่อาจกล่าวว่าพระเยซูคริสต์เป็นคนวิกลจริต แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และรู้ว่าพระองค์มาในโลกนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด

คำอ้างเป็นตำนานที่เชื่อไม่ได้

มีบางท่านให้ข้อคิดว่า  คำบันทึกเกี่ยวกับคำอ้างของพระเยซูคริสต์เป็นตำนาน  ในลักษณะนิยายที่เชื่อถือไม่ได้  โดยให้เหตุผลว่า แท้จริงแล้วพระเยซูคริสต์ไม่เคยอ้างเลยว่าพระองค์คือพระเจ้า  แต่สาวกที่สัตย์ซื่อของพระองค์ในศตวรรษที่ 3 และ 4 อยากให้เรื่องราวของพระเยซูคริสต์น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  จึงได้พยายามแต่งเรื่องเพิ่มเติมให้ดูสมจริงสมจัง  เพื่อว่าเมื่อคนอ่านแล้วจะได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวพระองค์มากขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนี้  ย่อมหมายความว่า  คริสตศาสนาตั้งอยู่บนรากฐานของการโกหกพกลม

ในปัญหานี้  ผู้เขียนขออ้างถึงศาสตราจารย์ พอล ลิตเติ้ล  ซึ่งเขียนไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ Know Why You Believe หน้า 18 ว่า

“ไม่มีเหตุผลใดให้เชื่อว่าเอกสารดังกล่าวฉบับใดถูกเขียนขึ้นหลัง ค.ศ. 70  และเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าตำนานของพระเยซูในลักษณะเอกสารดังกล่าวจะเผยแพร่ออกไป และมีแรงประทับใจถึงเยี่ยงนั้นได้ โดยไม่มีความจริงเป็นพื้นฐาน  เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พอ ๆ กับที่จะไม่มีใครในสมัยนี้เขียนชีวประวัติอดีตประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์ ว่าท่านได้ประกาศตนเป็นพระเจ้า  ยกความผิดของมวลมนุษย์ และได้ฟื้นขึ้นจากความตาย  เรื่องเช่นนั้นจะไปไม่ได้สักกี่น้ำ  เพราะคนจำนวนมากที่รู้จักรูสเวลต์ก็ยังอยู่”

ดังนั้น  ทฤษฎีที่ว่า เรื่องของพระเยซูคริสต์ในเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงตำนาน จึงใช้ไม่ได้  เนื่องจากเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้ว ว่าต้นฉบับของเอกสารดังกล่าวเขียนขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์

เราอาจจะยกตัวอย่างในประเทศไทย เพื่อให้เข้าใจดียิ่งขึ้น สมมติว่า มีผู้เลื่อมใสศรัทธาในตัวอดีตนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จำนวนหนึ่ง  มาประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า  ท่านจอมพบสฤตดิ์ ขณะมีชีวิตอยู่ได้อ้างว่าตนคือพระเจ้า  เป็นผู้สามารถยกโทษความผิดบาปของมนุษย์  ทำการอัศจรรย์นานัปการ และในที่สุดได้เป็นขึ้นจากความตาย ฯลฯ

คุณคิดว่าถ้าสิ่งที่กล่าวมาไม่ได้เกิดขึ้นจริง  คำเล่าลือนี้จะกระจายไปได้ไกลสักแค่ไหน  ตอบง่าย ๆ คือไปไม่ได้ไกลแน่ ๆ  เพราะคนที่รู้จักจอมพลสฤษดิ์ในปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่  ย่อมต้องมีผู้ไม่เห็นด้วยลุกขึ้นประกาศคัดค้านว่า  สิ่งที่ผู้เลื่อมใสจอมพลสฤษดิ์กล่าวมานั้น ไม่มีมูลความจริง  เพราะเรารู้จักท่านจอมพลผู้นี้ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ เหตุผลอีกประการหนึ่งที่เราไม่อาจเชื่อได้ว่า เรื่องราวของพระเยซูคริสต์เป็นตำนานที่พวกสาวกแต่งขึ้น  เพราะเราไม่เห็นว่ามีแรงจูงใจอะไรทำให้พวกเขาต้องทำเช่นนั้น ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ทั่วไป จะพบว่า การมาเป็นคริสเตียนในระยะต้น ๆ ศตวรรษนั้น หมายถึงอันตรายต่อชีวิต  หลายท่านคงจะเคยอ่าน หรือเคยชมภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวในสมัยนั้นที่ชาวคริสต์ต้องถูกทรมานอย่างเหี้ยมโหดทารุณ  โดยจักรพรรดิของโรมันหลายองค์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเชื่อถือ

เช่นเดียวกัน  การที่นักโบราณคดีในยุคปัจจุบันยืนยันว่าเอกสารบันทึกชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ทั้งสี่เล่มนี้ ล้วนเขียนขึ้นภายใน ค.ศ. 70 นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะเมื่อเอกสารที่ว่านี้แพร่กระจายออกไป  ประกอบกับเรื่องของพระเยซูคริสต์ที่สาวกประกาศไปทั่วทุกหนทุกแห่งในช่วงเวลานั้น  พวกที่ต่อต้านกลุ่มชาวคริสต์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งพวกยิว และพวกโรมันในสมัยนั้น  ย่อมจะไม่ปิดปากเงียบโดยไม่พูดอะไรเลย  สามัญสำนึกบอกเราว่า พวกเขาต้องลุกขึ้นตอบโต้ยืนยันข้อเท็จจริงเพื่อหักล้างคำประกาศของเหล่าสาวกอย่างแน่นอน  ฉะนั้น ความเงียบของพวกเขาจึงแสดงให้เห็นถึงการยอมรับ และยอมจำนนต่อความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้เขียนขออ้างบันทึกของนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลกผู้หนึ่ง  คือ Flavius Josephus (เกิด ค.ศ. 37)  ท่านไม่ใช่คริสเตียน  แต่ได้บันทึกไว้ในเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ ชื่อ Antiquities XVIII 33 เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูคริสต์  ความว่า

“ในครั้งนั้น … มีเยซูผู้ปราดเปรื่อง (ซึ่งที่จริงแล้วเราเรียกท่านว่าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง)  ท่านเป็นผู้ทำการมหัศจรรย์  เป็นครูของเหล่าคนที่รับความจริงด้วยความชื่นชม  ท่านได้ชักนำคนจำนวนมาก  รวมทั้งพวกยิว และผู้ที่ไม่ได้เป็นยิว ให้เชื่อว่าท่านเป็นพระคริสต์  และเมื่อปีลาตได้ตัดสินให้ท่านถูกตรึงบนกางเขน ตามคำยุยงส่งเสริมของคนสำคัญในหมู่พวกเรา (ชาวยิว)  เหล่าคนที่รักท่านมาแต่ต้นก็ไม่ได้ละทิ้งท่าน  เพราะในวันที่สาม ท่านได้ฟื้นขึ้น และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าท่านมีชีวิตอยู่  ดังที่พวกผู้พยากรณ์ได้ทำนายล่วงหน้า ถึงเรื่องเหล่านี้  และถึงการมหัศจรรย์นานัปการเกี่ยวกับท่าน  และคริสตชนซึ่งได้รับเชื่อตามท่าน ก็ยังคงสืบสายอยู่จนทุกวันนี้” หรือหากจะถามว่า “เป็นไปได้ไหม ที่พวกสาวกของพระเยซูคริสต์แต่งเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเรื่องโกหก  แต่กลับยอมตายเพื่อเรื่องโกหกของตนเอง”  คนย่อมตอบได้ว่าไม่มีเหตุผล และไม่มีแรงจูงใจเพียงพอ ในทางตรงกันข้าม  การที่สาวกจำนวนมากยอมตายเพื่อพระนามของพระเยซูคริสต์  ก็เพราะพวกเขามั่นใจอย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่ตัวเขารู้จักดี

ท่านอัครทูตยอห์น  ได้เขียนไว้ในจดหมายฝากของท่าน เมื่อประมาณปลายศตวรรษที่หนึ่ง  ซึ่งได้ยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้ว่า

ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์” (1ยอห์น 1:1-3)

ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราคำนึงถึงมาตรฐานทางศีลธรรม กับคุณธรรมของสาวกด้วยแล้ว  ก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวสาวกนั้น เป็นไปไม่ได้

คำอ้างเป็นความจริง

หากไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะยอมรับความเป็นไปได้ในข้อ 1 และ 2 (คำอ้างเป็นความเท็จ กับคำอ้างเป็นตำนานที่เชื่อไม่ได้) เราก็มีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ คำตรัสของพระองค์เป็นความจริง และเป็นความจริงอันสำคัญที่ทำให้เราต้องตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างให้กับชีวิตของเรา นั่นคือ เราจะยอมรับ หรือปฏิเสธว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และจะยอมรับ หรือปฏิเสธคำสอนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ระหว่างพระองค์กับเรา ซึ่งหมายความว่า เราต้องรับผิดชอบต่อผลการตัดสินใจของเราด้วย ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างน้อยที่สุดเวลานี้ คุณต้องตัดสินใจในทางใดทางหนึ่ง เกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระองค์

ชีวิตที่สอดคล้องกับคำอ้าง

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอ้างว่าเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตที่คนคนนั้นแสดงออกมา น่าเชื่อถือ หรือสอดคล้องกับคำอ้างของเขาแค่ไหน ในกรณีของพระเยซูคริสต์ ชีวิตของพระองค์สอดคล้องตรงกับคำอ้างของพระองค์ ขอให้พิจารณาลักษณะพิเศษบางประการจากชีวิตของพระองค์ ดังนี้

คำพูดของพระเยซูคริสตเป็นคำพูดอมตะ

หากพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าดังที่อ้างจริง พระคำของพระองค์ย่อมต้องเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยกล่าวมา พระเยซูคริสต์เอง ตรัสว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย” (ลูกา 21:33) ซึ่งหมายความว่า คำพูดทุกคำที่พระองค์ตรัส จะต้องเป็นความจริงอมตะ สำหรับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และ ทุกชนชั้นทั่วโลก สังเกตได้ว่า พระคำของพระองค์ไม่เคยล้าสมัย และไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย

ในสมัยของพระองค์ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำพูดของพระองค์ ต่างประหลาดใจในคำสอนอันกอปรด้วยอำนาจ จนต้องยอมรับว่า ไม่มีผู้ใดพูดเหมือนพระองค์เลย “คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ” (ลูกา 4:32) “เจ้าหน้าที่ตอบว่า ‘ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย’ ” (ยอห์น 7:46) แม้ปัจจุบันพระคำของพระองค์ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทุกถ้อยคำที่พระองค์ตรัสนั้น เปี่ยมด้วยความจริง และความมั่นใจ หากเราพิจารณาคำพูดของพระเยซูคริสต์ เราจะไม่พบคำว่า “คิดว่า” “คงจะ” อาจจะ” หรือ “คาดคะเนว่า” เหมือนนักปรัชญา นักคิด หรือนักวิชาการทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์เน้นเสมอว่า “เรากล่าวกับท่านตามจริงว่า…”

พระองค์สอนด้วยความมั่นใจ ชัดเจน และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานของมนุษย์ที่แสวงหาคำตอบมาทุกยุคทุกสมัย เช่น พระเจ้าคือใคร พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับเราอย่างไร อะไรคือรากปัญหาของสังคม เราจะได้รับการยกโทษบาปอย่างไร เราอยู่ในโลกนี้ทำไม และตายแล้วไปไหน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องชัดเจน และมั่นใจได้เลย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานคำตอบให้ได้

พระคำของพระองค์มิใช่เป็นเพียงความจริงเกี่ยวกับชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นคำทำนายที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์อีกด้วย เช่น พระเยซูได้ตรัสกับสาวกล่วงหน้าถึงความตาย และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น และ พระองค์ทำนายถึงการพังพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70

“ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 16:21)

“โอ เยรูซาเล็มๆที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ ดูเถิด นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งและเริศร้าง” (มัทธิว 23:37-38)

หรือหากจะพูดถึงสถิติเกี่ยวกับคำพูดของพระเยซูคริสต์แล้ว ก็สามารถกล่าวว่า คำ สอนและคำพูดของพระองค์ มีคนอ่านมากที่สุดในโลก ได้รับการอ้างอิง โดยนักประพันธ์มากที่สุดในโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก และปรากฎในศิลปะ วรรณกรรม และดนตรีมากที่สุดในโลก นี่ย่อมแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และอิทธิพลของคำพูด อันประกอบด้วยลักษณะของผู้พูด คือ พระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ต้องเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความด่างพร้อยใด ๆ การแสดงออกของพระองค์ ในทุกความคิด ทุกคำพูด และทุก ๆ การกระทำ นับแต่เกิด จนกระทั่งตาย ไม่ว่าในขณะอยู่คนเดียว หรือเมื่อปรากฎต่อสาธารณชน จะต้องแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน จนกล้าท้าทายศัตรูของพระองค์ให้ชี้ถึงความผิดของพระองค์ ว่า “มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา” (ยอห์น 8:46) เงียบ ! ไม่มีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายศัตรู

สำหรับมนุษย์แล้ว ความรู้สึกว่าตนเป็นบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด หรือความบกพร่องใด ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดมาก คงมีผู้อ่านหลาย ๆ ท่านที่มีโอกาสศึกษาถึงประสบการณ์ส่วนตัวของนักบุญ หรือนักสอนศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะพบว่าเขาเหล่านั้นแต่ละคนต่างยอมรับถึงความบกพร่องที่ตนมีอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งนี้ เราไม่พบในประสบการณ์ของพระเยซูคริสต์เลย พระองค์สอนถึงเรื่องความผิดบาปของมนุษย์ และเน้นให้สาวกอธิษฐานสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า แต่ตัวของพระองค์เองนั้น พระองค์ไม่เคยสารภาพความผิดบาป เพราะไม่มีความผิดบาปที่จะสารภาพ

เพื่อนที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุด คือ สาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งได้มีโอกาสอยู่ กินนอน และปฏิบัติภารกิจด้วยกันทุกวัน ได้เป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์ว่า
“พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย และไม่ได้ตรัสคำเท็จเลย” (1เปโตร 2:22)ท่านอัครทูตยอห์น ได้เขียนไว้เช่นกันว่า
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย” (1ยอห์น 3:5)

แม้แต่ปีลาต ผู้มีหน้าที่ต้องพิพากษาพระเยซูคริสต์ในสมัยนั้น ก็ยังได้กล่าวยืนยันต่อฝูงชนว่า”เราไม่เห็นว่าคนผู้นี้มีความผิด” (ลูกา 23:4)
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ คือ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

พระเยซูคริสตสำแดงการมหัศจรรย์

เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ต่าง ๆ มิใช่ของใหม่สำหรับคนไทยเรา เรามักมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟังเสมอ แต่จะน่าเชื่อแค่ไหนนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาโดยรอบคอบ

ในกรณีของพระเยซูคริสต์ การอัศจรรย์ทั้งสิ้นที่พระองค์กระทำ เป็นส่วนสำคัญมาก ที่ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เพราะหากพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์จริงแล้ว เราย่อมคาดหวังว่าต้องมีการอัศจรรย์เกิดขึ้น

เอกสาร 4 ฉบับที่บันทึกเรื่องชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ (มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น) ได้เขียนถึงการอัศจรรย์มากมายที่พระองค์ทำ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า พระองค์แสดงอำนาจเหนือสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ

ก. อำนาจเหนือความเจ็บป่วย เช่น รักษาคนตาบอด (มารโก 8:22-25) คนหูหนวกและคนใบ้ (มาระโก 7:31-37) คนง่อย (ยอห์น 5:1-9)

ข.อำนาจเหนือผีร้าย เช่น พระเยซูทรงขับผีที่สิงในตัวคนออกไป (มาระโก 1:23-28; 9:14-29)

ค. อำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น พระเยซูทรงห้ามพายุให้สงบ (มัทธิว 8:23-26) เปลี่ยนน้ำธรรมดาเป็นเหล้าองุ่น (ยอห์น 2:1-11) เลี้ยงคนห้าพันคน ด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว (มัทธิว 14:15-21)

ง. อำนาจเหนือความตาย พระเยซูทรงทำให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ เช่น ลูกสาวนายธรรมศาลา (มาระโก 5:35-43) ลูกชายแม่ม่ายคนหนึ่ง (ลูกา 7:11-15) และ ลาซารัสแห่งเบธานี (ยอห์น 11:1-14)

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเยซูคริสต์กระทำ คือ พระองค์ประกอบการอัศจรรย์ส่วนใหญ่ต่อหน้ามหาชนอย่างเปิดเผย ซึ่งผู้ไม่เชื่อพระองค์สามารถสืบสวนหามูลความจริงได้ ที่สำคัญกว่านั้น คือ ศัตรูของพระองค์ในสมัยนั้นไม่ได้ปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่กลับหาหนทางกำจัดพระองค์ด้วยเหตุผลว่า”ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา” (ยอห์น 11:48)

นอกเหนือจากเอกสารบันทึกประวัติของพระเยซูคริสต์ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ยังมีเอกสารอื่น ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์ ที่เป็นหลักฐานยืนยันถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำด้วย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถึงเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ ชื่อ Antiquities ของ Flavius Josephus และแม้แต่พระคัมภีร์กุรอานของศาสนาอิสลามเอง ก็ได้กล่าวถึงความสามารถในการประกอบการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์

นี่ย่อมยืนยันว่า การอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เรื่องยกเมฆ แต่มีเหตุผล หลักฐาน ต่างๆรองรับอยู่อย่างหนักแน่น ทำให้เราเห็นความจริงข้อหนึ่งว่า พระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจสามารถกระทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้

พระเยซูคริสตเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก

คงไม่เกินความจริงมากไป หากจะพูดว่าพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก ในทุกยุคทุกสมัย นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น

Kenneth Scott Latourette นักประวัติศาสตร์เรืองนามท่านหนึ่ง ชื่อท่านเขียนไว้ว่า “พระเยซูคริสต์เป็นผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนมากที่สุดในโลก อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาในประวัติศาสตร์ และอิทธิพลที่พระองค์มีต่อชีวิตคนนั้น นับวันจะทวีขึ้นเรื่อย ๆ”พระเยซูคริสต์ใช้เวลาในการทำราชกิจของพระองค์เพียงสามปีเท่านั้น แต่เป็นสามปีที่มีความหมายสูงสุด เป็นสามปีที่ได้พลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลก ดังที่เราเห็นจากตัวอย่างข้อเท็จจริงเหล่านี้

พระเยซูไม่เคยเขียนหนังสือแม้แต่สักเล่ม แต่มีหนังสือในทุกชาติภาษาที่เขียนถึงเรื่องของพระองค์ พระเยซูคริสต์เป็นครูที่มีศิษย์มากที่สุดในโลก (จำนวนคริสตชนในปัจจุบันมีมากกว่าหนึ่งพันล้านคน) พระเยซูคริสต์ได้รักษาผู้ที่จิตใจฟกช้ำมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ตลอดทุกยุคทุกสมัย ในประวัติศาสตร์ มีคนจำนวนมหาศาล ยินยอมพลีชีพเพื่อพระเยซูคริสต์ ด้วยความจงรักภักดี ทั้งที่พระองค์มิได้เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหารหรือการเมือง ใช่แล้ว สามัญชนผู้นี้แหละ ที่คนจำนวนมากทั่วโลกยินดีมอบชีวิตของตน เพื่อติดตามพระองค์ ทำไมหรือ ? ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถเข้าใจ และเห็นใจในความอ่อนแอบกพร่อง ตลอดจนความทุกข์ และความเจ็บปวดในชีวิตของเรา และพระองค์ยังเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ในปัจจุบัน จึงสามารถเป็นที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนอยู่กับเราตลอดไปได้

พระเยซูคริสต์สามารถสนองตอบความต้องการส่วนลึกสุดของจิตใจมนุษย์

ทุกวันนี้ วิทยาการยิ่งก้าวหน้า ดูเหมือนว่ามนุษย์กลับยิ่งไม่มีความสุข มนุษย์มีความสามารถสารพัด เอาชนะธรรมชาติ พิชิตดวงจันทร์ แต่ไม่สามารถพิชิตตนเอง เพราะว่าปัญหาพื้นฐานของมนุษย์อยู่ที่จิตใจ ภายในจิตใจมนุษย์ คือช่องว่างที่ไม่อาจถมให้เต็มด้วยเงินทอง บ้านช่องสวยหรู อำนาจ ชื่อเสียง หรือกามารมณ์ นั่นเพราะเราแสวงหาในทางที่ผิด

Augustine นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เคยร้องทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์เอง จิตใจของเราไม่อาจพบความสงบสุขแท้ได้เลย จนกว่าเราพบความสงบสุขในพระองค์”

ทุกวันนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนต่อสู้ แก้ปัญหาทุกวิถีทางด้วยความสามารถที่จำกัดของตน โดยปราศจากพระเจ้า และหลายครั้งก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะสังคมมนุษย์จมดิ่งสู่ความชั่วมากขึ้นทุกที ยิ่งกว่านั้น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความว้าเหว่ ความว่างเปล่า และความกลัว ได้ครอบงำจิตใจของมนุษย์มากขึ้น ๆ จนเราไม่แน่ใจว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไรกันแน่ ท่ามกลางความสิ้นหวังของสังคมมนุษย์นี้เอง พระเยซูคริสต์ได้ก้าวเข้ามา พร้อมกับอาสาที่จะแก้ไขปัญหาหลักของมนุษย์

โปรดฟังคำท้าชวนของพระองค์ต่อไปนี้ ด้วยจิตใจที่พินิจพิจารณา

“บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28)

“เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)

“ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม” (ยอห์น 7:37)

“เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ยอห์น 6:35)

“เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)

ความสรุป

คำตรัสเชิงท้าชวนให้ทุกคนมาสัมผัสชีวิตของพระองค์ ตามที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดสวยงามที่ปรากฎบนแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ด้วยชีวิตจริง ร่วม 2,000 ปี คนจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วโลก ในทุกประเทศ ทุกยุคสมัย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูคริสต์ที่เขาต้อนรับเข้าสู่ชีวิตของเขานั้น ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาใหม่ สร้างค่านิยมใหม่ มอบสันติสุขใหม่ และให้ความหวังใหม่แก่เขา ในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย

ทุกวันนี้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่พระชนม์อยู่ ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ในประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของเรา โดยยอมมอบความศรัทธาไว้กับพระองค์

จากหนังสือ เรื่อง “เยซูคือใคร”

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)