บทนี้ผูเขียนขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่เป็นคริสเตียนทั้งหลายมาทำสงครามกันเถิด
สงครามที่ว่านี้มิใช่สงครามระหว่างคณะ ต่อ คณะ หรือระหว่าง คน ต่อ คน และก็ไม่ใช่สงครามจิต แต่เป็นสงครามจิตวิญญาณ ในสงครามครั้งนี้มีชีวิต (ฝ่ายจิตวิญญาณ ) ของท่านเป็นเดิมพัน
สงครามครั้งนี้ถึงแม้จะไม่มีใครชวนท่าน ท่านก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดี เพราะว่าคริสเตียนทุกคนมีศัตรูและเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของซาตาน
ความจริงซาตานต้องการที่จะล้มล้างอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่มันทำไม่ได้ มันไม่เคยทำได้ และจะไม่มีโอกาสที่จะทำได้เลย ดังนั้นมันจึงมุ่งมาที่พวกพ้องของพระองค์ทุกคน โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงท่านและข้าพเจ้าต่างก็ตกอยู่ในแผนการณ์แห่งการทำลายของมัน
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องประกาศสงครามกับมัน หากท่านไม่อยากจะเข้าสู่สงครามครั้งนี้ ก็มีทางออกอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ การลาออกจากการเป้นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะถ้าเป็นสาวกของพระองค์แล้ว จะไม่ประกาศสงครามกับมันไม่ได้
ในการทำสงครามครั้งนี้มีเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเราด้วย เรื่องที่น่ายินดีนี้ คือว่า เราอยู่ฝ่ายชนะ
เพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงปราบมันลงไว้ใต้พระบาทของพระองค์เรียบร้อยแล้ว และชัยชนะของพระองค์เป็นชัยชนะตลอดกาลซึ่งได้รับการยืนยันจากพระคัมภีร์อย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้ดีใจทนไหวหรือ ถ้าเช่นนี้ก็แปลว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเราเป็นฝ่ายมีชัย ขออภัย…หากท่านคิดเช่นนั้นก็เป็นการเข้าใจผิดอย่างมากสงครามยังไม่สิ้นสุด ถึงแม้ว่ามารจะพ่ายแพ้ต่อองค์พระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม แต่มันยังหายอมยุติสงครามไม่ ตราบใดที่มันยังอยู่ สงครามก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และมันทำเหมือนว่า ในสงครามครั้งนี้มันต่างหากที่เป็นฝ่ายมีชัย และมันยังตั้งความหวังไว้ด้วยอีกว่า วันหนึ่งชัยชนะคงตกเป็นของมันอย่างสมบูรณ์
เมื่อเราเห็นถึงความคิดของมันแล้ว อาจจะนึกเยาะเย้ยมันอยู่ในใจว่า มันนี้ช่างโง่เสียเหลือเกิน แต่ท่านที่รักเป็นเรื่องน่าตกใจว่า ความหวังของมันดูเหมือนว่ากำลังจะเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เพราะปรากฎว่า เวลานี้ความปราชัยได้เกิดขึ้นในกองทัพที่มีชัยจริงๆ ท่านอาจจะมองไม่เห็นว่า เรื่องนี้จะเป็นความจริงไปได้อย่างไร แต่ถ้าท่านจะใช้ความสังเกตุสักนิด ก็จะพบสิ่งที่ไม่คาดคิดดังกล่าวนี้อย่างแน่นอน
ลองดูชีวิตคริสเตียนโดยทั่วๆ ไปเป็นตัวอย่าง จะพบว่ามีคริสเตียนจำนวนมากที่ไม่ได้แสดงชีวิตแห่งความมีชัยออกมาเลย แต่ในทางตรงข้าม กลับแสดงชีวิตที่พ่ายแพ้ อ่อนแอออกมาอย่างน่าสมเพชที่สุด เห็นแล้วเศร้า เศร้าที่พบคริสเตียน ขี้สะดุด ขี้สงสัย และขี้บ่น บางคนไม่เพียงแต่ขี้บ่นเท่านั้น กลับเอะอะโวยวาย แล้วก็พ่ายแพ้ไปเลย บางคนแพ้แม้กระทั่งความบาปเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่มารเอามาล่อไว้ น่าสงสัยว่าอะไรหนอที่เป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้นี้ น่าจะเป็นไปได้ว่า ส่วนหนึ่งของสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้นี้เกิดขึ้นเพราะท่านลืมไปว่าเวลานี้กำลังอยู่ในสนามรบ ซึ่งมีศัตรูที่ดุร้าย คือมารซาตาน ในพระคัมภีร์ได้บอกเราว่ามันกำลังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรา เพื่อหาโอกาสที่จะโจมตีเราอยู่ตลอดเวลา น่าแปลกใจที่ว่า ทั้งๆ ที่รอบตัวท่านมีแต่ศัตรูอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมท่านจึงไม่แสดงอาการระวังตัวสักนิดเดียว ท่านประมาทมันเกินไปแล้ว เพราะความประมาทนี้เองที่ทำให้ท่านต้องพ่ายแพ้ ซึ่งการแพ้ทั้งๆที่ไม่น่าจะแพ้ สิ่งที่ติดตามความพ่ายพ้ก็คือความกลัว แม้แต่ผีชั้นปลายแถว ท่านก็ไม่กล้าที่จะไปเผชิญกับมัน ดูเหมือนว่าพระเยซูคริสตืที่อยู่ในชีวิตของท่านจะไม่มีความหมายเอาเสียเลย เห็นหรือไม่ว่าคริสเตียนเหล่านี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ ในเรื่องนี้มีทางออกอยู่ 2 ทาง
ทางหนึ่ง คือ ลุกขึ้นสู้ และ ต้องสู้จนกว่าจะชนะ จนกว่ามันจะกลัวท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องกลัวมันอีกต่อไป อีกทางหนึ่ง ในพระคัมภีร์บอกว่า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป ท่านต้องทำให้มันกลัว เหมือนกับที่มันเคยกลัวพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความเชื่อ และอำนาจแห่งพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ไม่ใช่พระนามของพระองค์ที่ปากเท่านั้น รายละเอียดอื่นๆ นั้นมีอยู่เรียบร้อยแล้วในหนังสือพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ถ้าอยากรู้ต้องศึกษา หาไม่แล้วผีจะไม่กลัวท่าน และถ้าท่านทำให้มันกลัวไม่ได้ ก็จงไปเป็นพวกของมัน ซึ่งเป็นหนทางที่สอง อันเป็นหนทางที่จะนำท่านไปสู่ ” บึงไฟนรก”
ใครจะไปทางไหน ก็เชิญเลือกเอาตามสบายครับท่าน
บทความจากฝ่าย คณะศิษยาภิบาล วันที่ 19/10/2002