เราจะมาพิจารณาถึงรากฐานของความรัก ความรักมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของคริสเตียนแท้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงและการเป็นบุตรของพระเจ้าของคริสเตียนแต่ละคน เพราะธรรมชาติของพระเจ้าคือความรัก ถ้าหากเราผูกพันกับพระเจ้าโดยความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราก็ร่วมในธรรมชาติของพระองค์ และเนื่องจากธรรมชาติของพระองค์คือความรัก ลูกพระเจ้าที่แท้จริงจึงต้องมีความรักของพระองค์สำแดงออกในชีวิต ถ้าไม่มีก็แสดงว่าเป็น คริสเตียนปลอม ยังไม่มีชีวิตใหม่ของพระองค์จริงๆ เป็นคริสเตียนเฉพาะภายนอก นับถือศาสนาคริสต์ มีหลักข้อเชื่อ แต่ขาดชีวิตใหม่จากพระองค์

เหมือนที่เข็มทิศทุกอันจะชี้ไปทางทิศเหนือ เพราะสนามแม่เหล็กของโลก มนุษย์จึงใช้เข็มทิศเป็นเครื่องนำทางได้ คริสเตียนแท้ทุกคนจะสำแดงความรักของพระเจ้าในชีวิตไม่ว่าจะเกิดในเชื้อชาติใด ภาษาใดก็ตาม เพราะ ธรรมชาติของพระเจ้า อยู่ในตัวเขา ไม่ต้องบีบบังคับ ความรักจะไหลล้นออกมาจากจิตใจของเขา

ยอห์นให้เหตุผล 3 ประการว่า ทำไมคริสเตียนจึงต้องรักซึ่งกันและกัน

1. พระเจ้าทรงเป็นความรัก (ยน.4:7,8)
แต่ไม่ได้หมายความว่า ความรักคือพระเจ้า และการที่คนสองคนรักกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นความรักที่บริสุทธิ์เสมอไป พระเจ้าทรงเป็นความรัก และความรักของพระองค์ บริสุทธิ์ ความรักมากมายทุกวันนี้ที่พวกวัยรุ่นเข้าใจกัน เป็นความรักแบบความใคร่ ความลุ่มหลง เป็นโลกียวิสัย มีราคะตัณหาเป็นพื้นฐาน แตกต่างจากความรักที่แท้จริงของพระเจ้า เป็นความรักจอมปลอม ความรักของคริสเตียนจึงแตกต่างจากความรักทั่วไปของคนในสังคม เพราะเป็นความรัก ที่มาจากพระเจ้า หลั่งเข้าสู่จิตใจของคริสเตียน โดยทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสเตียนไม่ได้ผลิตขึ้นเองในจิตใจ แต่รับมาจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของความรัก ดังนั้นคริสเตียนแท้จึงไม่มีทางอื่นในการแสดงออกถึงธรรมชาติใหม่นอกจากรักซึ่งกันและกัน
เรารักซึ่งกันและกัน เพราะเรารู้จักพระเจ้า หมายถึงเรามีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้า ถ้าเราไม่รักแสดงว่า เราไม่รู้จักพระเจ้า เราไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า เราอาจมีความรู้ในสมองเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ไม่มีความเข้าใจถึงพระเจ้าอย่างแท้จริงในใจของเรา พระเจ้าอยู่ในใจของเรา ความรักของพระองค์ต้องสำแดงออกจากจิตใจของเรา จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นความรัก

2. พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (ยน.4:9-11)
พระเจ้าทรงเป็นความรัก ดังนั้นพระองค์ต้องแสดงออก ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำเท่านั้นแต่ด้วยการกระทำด้วยรักแท้ต้องไม่ นิ่งเฉย พระเจ้าทรงสร้างโลกที่น่าอยู่ สวยงาม อุดมสมบูรณ์ให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ เพื่อจะได้รักและรับใช้พระองค์
แต่การแสดงความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ กรตายของพระเยซูคริสต์ (รม.5:8) พระเยซูคริสต์ได้ปรากฎเพื่อกำจัดความบาปของเราและเพื่อ ทำลายกิจการของมาร การตายของพระองค์ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้โดยพระเจ้า พระองค์ยอมตายเพื่อเราจะได้ มีชีวิต โดยทางพระบุตร (ยน.4:9) พวกเราได้ตายแล้วในความบาป (อฟ.2:1) แต่ความตายของพระคริสต์ ทำให้เรามีชีวิตใหม่ เรารอดโดยความเชื่อวางใจในพระคริสต์ เมื่อเราได้รับความรอดโดยพระคุณความรักของพระเจ้าแล้ว ประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้เรา รักพระองค์ และ รักพี่น้องในพระคริสต์
พิธีมหาสนิท เป็นพิธีที่พระเยซูคริสต์สั่งให้สาวกทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อระลึกถึง การตายของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เรามีประสบการณ์กับความรักของพระองค์ที่สำแดงออกที่กางเขน ให้เข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณ ให้มีความตั้งใจที่จะดำเนินชีวิต ในความรักของพระองค์ และรักซึ่งกันและกัน การตายของพระองค์ที่กางเขนได้ทำลายกำแพงที่ขวางกั้น และทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (อฟ.2:13-16) เราต้องดำเนินชีวิตในความจริงดังกล่าวเสมอ

3. พระองค์สถิตอยู่ในเรา (ยน.4:12-16)
ผู้กำกับการแสดงได้แบ่งบทละครออกมาเป็นส่วนๆ แล้วมอบให้นักแสดงแต่ละคนในแต่ละส่วนที่ต้องแสดงเพื่อไปท่องบทให้จำได้ เมื่อถึงวันซ้อมใหญ่ปรากฎว่า ไม่สามารถแสดงให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ แม้จะพยายามหลายครั้งแล้วก็ตาม ในที่สุดผู้กำกับเรียกนักแสดงทุกคนมานั่งฟังบทแสดงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อนักแสดงเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ละคนก็สามารถเล่นบทของ ตัวเองให้ประสานกัน เพื่อบรรลุจุดสำคัญหรือหัวใจของเรื่องที่แสดงได้

เมื่อเราอ่าน 1 ยน.4:12-16 เราก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ของพระเจ้าในการจัดเตรียมความรอดแก่มนุษย์ คือพระองค์ปรารถนาที่จะอยู่ภายในมนุษย์ พระองค์ไม่เพียงแต่ตรัสว่า พระองค์รักเรา พระองค์ไม่เพียงแสดงออกเป็นการกระทำที่เสียสละอย่างใหญ่หลวง เพื่อให้เรารู้ว่าพระองค์รักเรา แต่พระองค์ต้องการที่จะอยู่ภายในเรา

พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่ประกาศเรื่องความรักของพระเจ้า แต่พระองค์ได้สำแดงออกเป็นการกระทำด้วยการ ยอมสละชีวิตบนกางเขน พระองค์คาดหวังให้สาวกของพระองค์สำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำ ถ้าเราดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราต้องแบ่งปัน ความรักของพระองค์ แก่ผู้อื่นด้วยการกระทำ

การดำรงอยู่ในความรักของพระเจ้า ทำให้เรามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ทำให้ความเชื่อวางใจในพระเจ้าเพิ่มมากขึ้นยิ่งรักพระเจ้ามากขึ้น ก็ยิ่งมี ความเข้าใจ ในความรักของพระองค์มากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถ วางใจในพระองค์ ได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ที่จะไว้วางใจในบุคคลที่เรารู้จักใกล้ชิดและรักเคารพด้วยความจริงใจ

ชายสูงอายุคนหนึ่งยืนเลือกการ์ดอวยพรอยู่นานในห้างสรรพสินค้า ในที่สุดพนักงานขายก็เดินมาหาและถามว่า ลุงจะซื้อการ์ดอะไร จะให้ช่วยเลือกให้ไหม? ลุงก็ตอบว่า ต้องการซื้อการ์ด อวยพรครบรอบ 40 ปีของการแต่งงาน แต่หาการ์ดที่ถูกใจจริงๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนแต่งงานใหม่ๆ ก็ไม่มีปัญหาเลือกได้ง่าย แต่หลังจากอยู่ร่วมชีวิตกันมา 40 ปี มันลึกซึ้งและเข้าใจถึงความรัก ที่เรามีต่อกันมากเหลือเกิน จึงหาการ์ดที่มีข้อความถูกใจจริงๆยากมาก

เช่นเดียวกันกับความรักระหว่างเรากับพระเจ้า ยิ่งมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้านานเท่าใด ก็ยิ่งรักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ความรักเติบโตขึ้น พัฒนาลึกซึ้งมากขึ้นและยิ่งแบ่งปันความรักของพระเจ้ากับผู้อื่นก็ยิ่ง ได้รับความรักของพระเจ้า มากขึ้น รักได้มากขึ้นๆ จนกระทั่งรักได้แม้แต่ศัตรูของเรา เพราะพระเจ้าเป็นความรัก เมื่อเราให้พระเจ้าอยู่ในเราอย่างเต็มที่ เราก็มีความสามารถที่จะรักได้ ความรักของพระเจ้าไม่ใช่เป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่เป็น ปัจจุบัน เป็นชีวิตจริง เดี๋ยวนี้ รักซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เป็นคำสั่ง เป็นสิ่งที่เราต้องทำหรือควรทำเท่านั้น แต่เป็นชีวิตของเราที่อยู่ในความรักของพระเจ้า

เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้ายอมให้คริสเตียนต้องเผชิญกับความเกลียดชังของโลกนี้ ก็เพื่อเราจะตอบสนองความเกลียดชังของโลกนี้ด้วย ความรักของพระองค์ (มธ.5:11,44)มีความเกี่ยวพันสองด้านที่เกี่ยวกับความรักในชีวิตคริสเตียนที่แยกกันไม่ได้ คือ ถ้าเรารักพระเจ้า เราจะรักซึ่งกันและกัน และถ้าเรารักซึ่งกันและกัน เราก็จะ เติบโตในความรักของพระเจ้ามากขึ้น

ในหนังสือปฐมกาลจะเน้นเรื่องการดำเนินกับพระเจ้า และพระเจ้าดำเนินกับมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เอโนค (ปฐก.5:22) โนอาห์ (ปฐก.6:9) และอับราฮัมดำเนินกับพระเจ้า (ปฐก.17:1;24:40) แต่เมื่อถึงสมัยของโมเสส พระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอล (อพย.25:8) ในพลับพลาและต่อมาในพระวิหาร เมื่ออิสราเอลทำบาปพระสิริของพระเจ้าก็ พรากจากพระวิหารไป (อสค.8:4;9:3;10:4;11:22,23) พระสิริของพระเจ้ากลับมาสู่พวกอิสราเอลอีกโดยทางพระเยซูคริสต์ (ยน.1:14) พระองค์สำแดงพระสิริผ่านทางร่างกายของพระเยซูคริสต์ แต่เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ เสด็จสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า พระองค์ได้สั่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์ ลงมาประทับอยู่ในสาวกของพระองค์ พระสิริของพระเจ้าอยู่ในร่างกายของบรรดาลูกๆของพระเจ้า ร่างกายของเราจึงเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 คร.6:19) พระเจ้าซึ่งโลกนี้มองไม่เห็นได้เลือกที่จะสำแดงพระสิริของพระองค์ในโลกนี้โดยผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลาย มนุษย์ในโลกนี้ไม่เห็นพระเจ้า แต่พวกเขาเห็นเรา เมื่อเรายอมต่อพระองค์ผู้อยู่ในเรา และเมื่อเรารักซึ่งกันและกัน เราก็แสดง ความรักของพระเจ้าให้โลกนี้ได้เห็น เรามีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าในจิตใจแล้ว ความรักก็สำแดงออกจากตัวเราสู่ผู้อื่น

พวกอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม ได้แต่ยืนมองไกลๆ ห่างจากพลับพลาซึ่งเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระเจ้า พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ห้องบริสุทธิ์ เพราะกลัวจะถูกประหารชีวิต แต่พวกเราในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ได้รับเกียรติ ได้รับสิทธิพิเศษจากพระเจ้าอย่างมากที่พระวิญญาณของพระองค์ ประทับอยู่ภายในเราแต่ละคน เรามีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา โลกนี้จะไม่เชื่อว่า พระเจ้ารักคนบาป จนกว่าพวกเขาจะได้เห็นความรัก ของพระเจ้าสำแดงออกผ่านทางชีวิตของเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า

ครั้งหนึ่ง มีสตรีคริสเตียน 2 คนออกไปเป็นพยาน เขาไปพบผู้หญิงคนหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ ดูท่าทางเหมือนผู้หญิงที่เร่ร่อนตัวคนเดียว จึงเข้าไปชวนคุยและเชิญไปโบสถ์ แต่หญิงคนนั้นปฏิเสธและไม่ยอมพูดคุยด้วย สักครู่สตรีคริสเตียนคนหนึ่งก็เข้าไปหอมแก้มและกอดผู้หญิงคนนั้นด้วย ความรัก หญิงคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วยอมเดินตามสตรีทั้งสองคนไปที่โบสถ์ ภายหลังหญิงคนนั้นได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เธอเปิดเผยว่า เมื่อได้ยินคำพูดว่า “พระเจ้าทรงรักคุณ” เขารู้สึกเฉยๆ เพราะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง จนกระทั่งได้รับความรักที่แสดงออกเป็นการกระทำ จึงเกิดความประทับใจ และยอมรับเชื่อเพื่อจะได้รับความรักของพระเจ้าในชีวิต

บทความโดย ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล