(ยน.4:17-5:5)

หนุ่มสาวคู่หนึ่งมีความตื่นเต้นมากในการเตรียมงานแต่งงาน เขามาหาศิษยาภิบาลเพื่อรับ คำปรึกษาชีวิตคู่ ในตอนท้ายของการให้คำปรึกษา ว่าที่เจ้าบ่าวขอดูรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีแต่งงาน เขาพอใจมากแต่ก็มีข้อทักท้วงว่า ในคำสัญญาที่เจ้าสาวเป็นผู้กล่าว ไม่มีคำว่า เชื่อฟังสามีอยู่ในนั้น ว่าที่เจ้าสาวก็พูดขึ้นมาว่า ถึงแม้ไม่มีคำพูดนั้นในคำสัญญา แต่การเชื่อฟังได้ถูกบันทึกไว้ในใจของเธอ ที่มีความรักต่อคู่หมั้นของเธอเรียบร้อยแล้ว

ในบทนี้จะเน้นเรื่องความรักของคริสเตียนที่มีต่อพระเจ้า พระบิดา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้เราสามารถ รักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง ถ้าเรายังรักพี่น้องคริสเตียนไม่ได้ แสดงว่าความรักของเราที่มีต่อพระบิดายังไม่มากเพียงพอ
พระเจ้าต้องการให้ความรักที่อยู่ภายในเราแต่ละคนบรรลุถึง ความสมบูรณ์ หมายถึงเต็มขนาด ครบบริบูรณ์ ผู้เชื่อไม่เพียงแต่พัฒนาให้เจริญขึ้นในพระคุณและความรู้ (2 ปต.3:18) แต่จะต้องเติบโตในด้านความรักที่มีต่อพระเจ้า พระบิดา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการ ตอบสนอง ต่อความรักของพระองค์ พระองค์ทรงรักลูกๆของพระองค์ทุกคนเหมือนที่พระองค์ทรงรัก พระเยซูคริสต์ (ยน.17:23) ชีวิตคริสเตียนต้องมีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าทุกวัน บางครั้งเราแบ่งประสบการณ์กับ พระเจ้าออกเป็นส่วนย่อยๆในหลายเรื่อง เช่น เรื่อง ความบริสุทธิ์ เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องการแยกตัวออกจากชีวิตอย่างชาวโลก แต่โดยภาพรวมแล้ว พระเจ้าต้องการให้เราเติบโตขึ้นในความรักที่มีต่อพระองค์ ด้านอื่นๆจะเป็นผลที่ตามมา เราแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่าความรักของพระเจ้าในตัวเรากำลังพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ มีข้อสังเกต 4 ประการด้วยกัน

ความรักของพระเจ้าในตัวเรากำลังพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ มีข้อสังเกต 4 ประการด้วยกัน

1.ความมั่นใจ ( ยฮ.4:17-19)
เป็นไปได้ไหมที่คริสเตียนจะอยู่โดยขาดความมั่นใจ อยู่ในความกลัวและหวาดระแวง น่าเสียใจที่มีผู้เชื่อบางคนเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะเขาไม่ได้เติบโตในความรักของพระเจ้า ประสบการณ์บางอย่างที่เลวร้ายในอดีตยังฝังใจและตามหลอกหลอนเขา มีบางอย่างในปัจจุบันทำให้เขาหวาดระแวง และเมื่อคิดถึงอนาคตเขารู้สึกไม่มั่นคง หวั่นไหวกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น

เราไม่จำเป็นต้องกลัวปัจจุบัน เพราะว่าความรักที่สมบูรณ์ สามารถ ขจัดความกลัว (ยฮ.4:18) เมื่อเรามีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้ามากขึ้น เราก็ไม่กลัวใน สิ่งที่พระองค์จะกระทำ เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเรา มันจะเป็นผลดีต่อเราแน่นอน

มีข้อกำหนดว่า มนุษย์จะต้องเข้าสู่การพิพากษา หลังจากความตาย (ฮบ.9:27) แต่คริสเตียนไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อการพิพากษาในอนาคต เพราะพระเยซูคริสต์ รับโทษแห่งการพิพากษาทั้งหมดบนไม้กางเขนแทนผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ตรัสยืนยันชัดเจนใน ยอห์น 5:24 ความบาปทั้งหมดของผู้เชื่อถูกพิพากษาไปแล้วที่ไม้กางเขน ดังนั้นจะไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อพิพากษาซ้ำอีก

เพราะความมั่นใจในความรอดพ้นจากการพิพากษา ทำให้เราดำเนินชีวิตด้วยความกล้าหาญ มีคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวในใจ ทุกครั้งที่คิดถึงความตาย ความกลัว จะผุดขึ้นทันที ไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกนี้ที่น่ากลัวมากกว่าการพิพากษาและความพินาศในบึงไฟนรก เมื่อเรามั่นใจว่า เราได้รอดพ้นแน่นอน (รม.5:10) เราก็พร้อมที่จะเผชิญ ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในโลกนี้

พระเจ้าต้องการให้ลูกของพระองค์มีชีวิตอยู่ในบรรยากาศของ ความรักและความไว้วางใจ ไม่ใช่ในบรรยากาศของ ความกลัวและหวาดระแวง เราไม่ต้องกลัวความตายหรือกลัวอนาคต เพราะว่าเรากำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาในความรักที่สมบูรณ์ของพระเจ้า (รม.8:35,37-39) แรกๆที่เราเชื่อในพระเจ้าเรายังมีความกลัวอยู่ในใจของเรา แต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พระเจ้ามากขึ้น ความซาบซึ้งใน ความรักของพระเจ้า เพิ่มมากขึ้น ความกลัวก็ค่อยๆจางหายไป คริสเตียนที่ยังไม่เติบโตจะมีความกลัวและมีความรักแกว่งไปมาอยู่ในใจ แต่คริสเตียนที่เติบโตแล้วจะพักสงบใน ความรักของพระเจ้า ความมั่นใจในการอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ความรักในพระเจ้ากำลังสมบูรณ์ขึ้น

2. ความโปร่งใส (4:20,21)
ปกติความกลัวและการเสแสร้งจะควบคู่กันไปเสมอ เมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาป ทันทีที่รู้สึกผิด เขาก็ซ่อนตัวจากพระเจ้าและปกปิดความเปลือยของตัวเอง แต่การปกปิดซ่อนตัวและข้ออ้างต่างๆของเขาไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของพระเจ้าได้ ความกลัวทำให้หนี ซ่อนตัวและปกปิดตัวจริงของเขา
เมื่อจิตใจของเรามีความมั่นใจต่อพระพักตร์พระเจ้า ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้ง ไม่ว่าต่อหน้าพระเจ้าหรือต่อหน้าคนอื่นๆ คริสเตียนที่ขาดความมั่นใจต่อพระเจ้าจะขาดความมั่นใจต่อหน้า พี่น้องคริสเตียน เขาจะมีความหวาดระแวงวิตกกังวลว่า ถ้าเขารู้จักตัวจริงของเรา รู้ว่าเราเป็นอย่างไรจริงๆ เขายังจะยอมรับเราหรือไม่ แต่สำหรับคนที่มีความมั่นใจต่อหน้าพระเจ้า ความกลัวดังกล่าว หายไป สามารถเผชิญหน้ากับพระเจ้าและกับมนุษย์โดยปราศจากความหวาดระแวง
ครั้งหนึ่งมีคริสเตียนจากต่างประเทศถามศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่เขาไปเยี่ยมว่า “โบสถ์ของอาจารย์มีสมาชิกกี่คน?” ศิษยาภิบาลตอบว่า เกือบ 1,000 คนครับ” “โอ ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ก็ต้องหนักใจมากซิครับในการพยายามทำให้คนมากมายขนาดนั้นพึงพอใจ” อาจารย์ตอบว่า “ผมไม่เคยคิดที่จะพยายามเอาใจสมาชิกในโบสถ์ ผมพยายามทำให้พระเยซูคริสต์พอพระทัย ถ้าผมทำสิ่งที่ถูกต้องตามที่พระองค์ต้องการ ความสัมพันธ์ของผมกับสมาชิกเป็นไปด้วยดี”
คริสเตียนที่ไม่เติบโตในความรักกับพระเจ้า อาจจะคิดว่าเขาจะต้องพยายาม ทำตัวเป็นคนฝ่ายวิญญาณ เพื่อให้เป็นที่ประทับใจต่อคริสเตียนอื่นๆ การทำเช่นนี้เป็นการเสแสร้ง สวมหน้ากาก เขาเล่นละครตบตาคนอื่น ไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างโปร่งใส ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในเรื่องการเสแสร้งคือ ชีวิตของอานาเนียกับสัปฟีรา (กจ.5) ทั้งคู่ขายที่ดินได้ แล้วนำเงินมามอบให้กับอัครทูตโดยโกหกว่าเป็นเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายที่ดิน ทั้งที่โดยความจริงแล้วพวกเขาเก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ ความบาปของพวกเขาคือการหลอกลวง เสแสร้งว่าเป็นคนมีจิตวิญญาณที่ดีและได้เสียสละทั้งหมดเพื่อพระเจ้า ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่
การเล่นเสแสร้งเป็นพระเอก เป็นนางเอก เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นเจ้าหญิง เป็นแม่ค้า ฯลฯ เป็นเกมส์การเล่นที่เด็กๆ ชอบมาก แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เลิกอาการเด็กๆ ผู้ใหญ่ต้อง รู้จักตัวเอง และประพฤติตัวให้เหมาะสมกับบทบาทของตัวเอง เขาต้องมีความสัตย์ซื่อ ความโปร่งใส เป็นตัวของตัวเอง
การเป็นคนโปร่งใสฝ่ายวิญญาณทำให้เกิด สันติสุข และ เกิดพลัง ในการดำเนินชีวิต เขาไม่ต้องพยายามจดจำการโกหกต่างๆที่ผ่านมาแล้ว และไม่ต้องเปลืองพลังงานสมองในการพยายามปกปิดความจริง เมื่อเขาดำเนินชีวิตอย่างโปร่งใสต่อ พระเจ้า เขาก็สามารถดำเนินชีวิตที่ โปร่งใส ต่อหน้าคนอื่น ความรัก และ ความจริง ไปด้วยกัน เพราะเมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา (ถึงแม้ว่ายังมีจุดอ่อนบางอย่างในชีวิต) เราก็ไม่จำเป็นต้องพยายามเสแสร้งเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ ยอมรับเรา เมื่อเรารักพระเจ้า เราก็รัก พี่น้องคริสเตียน

3. เชื่อฟังด้วยใจยินดี (5:1-3)
ไม่ใช่เชื่อฟังเท่านั้น แต่เชื่อฟังด้วยความยินดี ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างในธรรมชาติ เชื่อฟังพระเจ้าหมด ยกเว้นมนุษย์ ในหนังสือโยนาห์ เราจะเห็นว่า คลื่น ลม ปลาในทะเล เชื่อฟังพระเจ้า แต่โยนาห์ดื้อรื้นกับพระเจ้า แม้แต่ต้นละหุ่งและตัวหนอนก็เชื่อฟังพระเจ้า แต่โยนาห์โกรธพระเจ้า เพราะไม่ได้ดังใจตัวเอง
การไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำปัญหาและความสูญเสียมาสู่มนุษย์ พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ดื้อรื้นต่อพระองค์และพระองค์ไม่ต้องการให้เราเชื่อฟัง ด้วยความจำใจ

เราจะเชื่อฟังด้วยความยินดีได้อย่างไร? โดยตระหนักว่าการเชื่อฟังเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัวของพระเจ้า เรากำลังรับใช้พระบิดาที่เต็มด้วยความรักและเรากำลังช่วยเหลือ พี่น้องของเรา ในพระคริสต์ เราเกิดจากพระเจ้า เรารักพระเจ้า และรักลูกๆของพระเจ้าทุกคน และเราแสดงความรักโดย เชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า
เราแสดงความรักต่อพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่สวยหรูแต่ว่างเปล่า แต่ด้วยการอุทิศตัวรับใช้ตามน้ำพระทัย เราไม่ใช่ทาสที่จำใจต้องรับใช้นาย แต่เราเป็นบุตรที่เชื่อฟังพระบิดา ข้อพิสูจน์ว่าความรักของเราได้พัฒนาอย่างสมบูรณ์ คือ ท่าทีของเรา ที่มีต่อพระคัมภีร์ เพราะพระเจ้าสำแดง น้ำพระทัยของพระองค์ต่อเราโดยทางพระคัมภีร์ คริสเตียนที่เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ (ยังไม่เติบโต) มองดูข้อเรียกร้อง คำสั่งต่างๆ ในพระคัมภีร์ว่าเป็นภาระที่เหน็ดเหนื่อย เขาจะบ่นอยู่ในใจ บางครั้ง ก็บ่นออกมาทางปากว่า “ทำไมต้องทำตามที่พระเจ้าสั่งด้วย?” “อยากทำตามใจตัวเองไม่ได้หรือ?” แต่คริสเตียนที่มีประสบการณ์ในความรักของพระเจ้ามากมายและเติบโตในความรักของพระเจ้า จะมีความชื่นชมยินดีในพระวจนะพระเจ้า จะรักและยินดีเชื่อฟัง พระคัมภีร์เป็นเหมือนจดหมายรักจากพระบิดาที่ส่งมาถึงเขา ผู้เขียนสดุดีบทที่ 119 ซึ่งเป็นสดุดีที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์ได้บรรยายถึงความรักและความชื่นชมยินดีที่มีต่อพระคำของพระเจ้า

4. ชัยชนะ (5:4,5)
ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เพราะแรงกดดันให้เราไปตามกระแสโลก และทำตามใจตัวเอง แต่เนื่องจากคริสเตียนเกิดจากพระเจ้า เราจึงมี ธรรมชาติของพระเจ้า ในตัวเรา จึงทำให้เราทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่เมื่อใดที่ธรรมชาติเก่าของเนื้อหนังครอบงำ ก็จะทำให้เรา ไม่เชื่อพระเจ้า สิ่งยั่วยวนของโลกนี้มีอิทธิพลดึงดูดธรรมชาติเก่าในชีวิต คริสเตียน ทำให้พระบัญญัติของพระเจ้ากลายเป็นภาระหนัก ชัยชนะเหนือโลกของเราเป็นผลจาก ความเชื่อในพระเจ้า เราเติบโตขึ้นในความเชื่อ ก็ทำให้เติบโตขึ้นในความรัก เพราะความเชื่อและความรักจะเติบโตไปด้วยกัน
มีเรื่องเล่าว่าทหารคนหนึ่งในกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชขาดความกล้าหาญในการรบ ไม่กล้าบุกเมื่อมีโอกาส คอยหลบอยู่ด้านหลังของเพื่อนทหาร อเล็กซานเดอร์มหาราชถาม ทหารคนนั้นว่า “เจ้าชื่ออะไร?” ทหารคนนั้นตอบว่า “อเล็กซานเดอร์ ครับผม” แม่ทัพก็จ้องตาเขาเขม็งแล้วสั่งว่า “จงรบอย่างกล้าหาญหรือไม่ก็เปลี่ยนชื่อไปเลย”
พวกเราชื่ออะไร? “ลูกของพระเจ้า” ชีวิตเราแสดงออกเหมาะสมกับชื่อของเรา หรือไม่? อเล็กซานเดอร์มหาราชต้องการให้ชื่อของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ ชื่อของเราที่เป็นลูกของพระเจ้าก็ต้องสะท้อนชัยชนะของพระเจ้าในชีวิตของเรา เราได้ชัยชนะเพราะความเชื่อใน พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เชื่อในตัวเอง

เมื่อพระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เราขึ้นไปกับพระองค์ด้วยและนั่งในสวรรค์สถานร่วมกับพระองค์ (อฟ.2:6) นั่นคือ สถานภาพฝ่ายวิญญาณ ของเราในพระคริสต์ เมื่อพระองค์เสด็จ กลับมาเราจะปรากฎพร้อมกับพระองค์ในสง่าราศี (คส.3:4) โดยความเชื่อเราได้ร่วมในสิทธิอำนาจของพระคริสต์ (อฟ.1:19-22) ทำให้เรามีชัยชนะเหนือวิญญาณชั่ว

ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งประธานบริษัท ไม่ว่าจะเป็นคนสูงอายุ เป็นคนหนุ่มสาว เป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขามีสิทธิอำนาจสูงสุดในบริษัทนั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรก็ตามเขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจ เนื่องจากเขาอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัท อดีตทหารผ่านศึกอเมริกันคนหนึ่งเร่ร่อนขอทานและเก็บเศษอาหารกินประทังชีวิต เขามักจะพูดถึงเพื่อนของเขาที่ชื่อ มิสเตอร์ ลินคอล์น เสมอ ซึ่งก็คือประธานาธิบดีของสหรัฐ วันหนึ่งมีคนถามเขาว่า “คุณพิสูจน์ได้ไหมว่า คุณเป็นเพื่อนของประธานาธิบดี” “แน่นอน ผมมีจดหมายและลายเซ็นของเพื่อนผม เขาเซ็นให้ผมด้วยตัวเอง” เขาก็ดึงเอกสารออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วพูดว่า “ผมอ่านหนังสือไม่ค่อยออก แต่ผมจำแม่นว่านี่คือลายเซ็นของมิสเตอร์ ลินคอล์น เพื่อนของผม” พอคนที่ถามเห็นก็บอกเขาว่า “คุณลุงไม่ต้องเร่รอนขอทานและอยู่แบบอดอยากอีกแล้ว ลุงได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาลสหรัฐ ท่านประธานาธิบดีได้เซ็นอนุมัติเงินให้แก่ทหารผ่านศึกทุกคน ลุงมีเงินใช้สบายๆตลอดชีวิต”

เราที่เป็นคริสเตียนไม่ต้องอยู่แบบคนที่พ่ายแพ้ เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ คริสเตียนทุกคน เป็นผู้มีชัยชนะร่วมกับพระองค์ พระองค์ได้ปราบศัตรูทั้งหมดแล้วและให้เราร่วมในชัยชนะของพระองค์ จงอ้างถึงชัยชนะในพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อ กุญแจสำคัญคือ ความเชื่อ วีรบุรุษ วีรสตรีแห่งความเชื่อในฮีบรู บทที่ 11 ทุกคนมีชัยชนะในชีวิตโดยความเชื่อในพระเจ้า เขาเชื่อตามที่พระเจ้าตรัสและทำตามความเชื่อนั้น ความเชื่อไม่ใช่เป็นเพียงการยอมรับว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นเป็นความจริง แต่เป็นการ ลงมือปฏิบัติ เพราะมั่นใจว่าเป็นความจริง ความเชื่อที่นำสู่ชัยชนะเป็นผลมาจาก ความรักที่เติบโตเต็มที่ เพราะเมื่อรักใครก็เป็นการง่ายที่จะเชื่อวางใจผู้นั้น

ความรักของเราในพระคริสต์จะเติบโตเต็มที่ได้โดยวิธีดังนี้

1. เราต้องหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระคริสต์ เหมือนอับราฮัมดำเนินชีวิตกับพระเจ้า จนได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า (ยก.2:23) เป็นผลจากความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายปีติดต่อกัน
2. ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจะมีอิทธิพลต่อ ความคิดและความประพฤติ ของเรา จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสอดคล้องกับลักษณะของพระคริสต์มากขึ้น
3. ความรักที่เรามีต่อพระองค์จะลึกซึ้งมากขึ้น เมื่อเรามีมิตรภาพที่ใกล้ชิดกับใครความรักที่มีต่อคนนั้นก็เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อเราพัฒนาความสัมพันธ์กับพระคริสต์มากขึ้น ความรักของเราต่อพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เรามีความพร้อมที่จะ เชื่อฟังพระองค์มากขึ้น และหลีกเลี่ยงที่จะทำให้พระองค์เสียพระทัย

4. ยิ่งรู้จักพระองค์มากขึ้น ก็จะยิ่งรักพระองค์มากขึ้น และยิ่งรักพระองค์มากขึ้น ชีวิตของเราก็จะยิ่ง เปลี่ยนแปลงเหมือนพระองค์มากขึ้น ดังนั้นเราควรตั้งเป้าหมายที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นทุกๆวัน การอ่านพระคำ และอธิษฐานส่วนตัว ใช้เวลาเพื่อติดต่อกับพระองค์เป็นประจำ เป็นหนทาง ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

บทความโดย ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล