การดำเนินชีวิตในความรักต่อพี่น้องคริสเตียนเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะมันหมายถึงความเป็นความตายของชีวิต “คริสเตียน” ผู้ที่ยังไม่รักพี่น้องคริสเตียนก็ยังอยู่ในความตาย (1ยน.3:14) เป็นการประกาศชัดเจน ให้รู้ถึงความสำคัญของความรัก

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มีอยู่ 4 ระดับ ตั้งแต่แย่ที่สุดจนถึงดีที่สุด

1. ฆาตกรรม (1ยน.3:11,12)
เป็นระดับที่แย่ที่สุดของมนุษย์ เป็นระดับที่มารซาตานเป็นอยู่ มันเป็นผู้ฆ่าคน ตั้งแต่ ปฐมกาล (ยน.8:44) ถ้าจุดกำเนิดของเรามาจากพระเจ้า เราต้องรักซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเกิดจาก มารซาตาน ก็จะเกลียดชังกันและกัน และจะเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความเคียดแค้น อาฆาต และนำไปสู่การฆ่าฟัน

คาอินเป็นตัวอย่างของชีวิตที่เต็มด้วย ความเกลียดชัง เขาเกลียดชังน้องชายแท้ๆของเขา เขาทั้งสองนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้า เขานมัสการพระเจ้า แต่ท่าทีในใจของคาอินไม่ถูกต้อง ในที่สุดเขาก็ฆ่าน้องชายของตัวเอง คนของมารซาตานสามารถปลอมตัวเป็นคนของความสว่างได้ ถวายสิบลดกับคริสตจักร ร่วมนมัสการ ร่วมพิธีมหาสนิท ร่วมพิธีกรรมต่างๆของคริสตจักร แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องพิสูจน์จริงๆว่า เขาบังเกิดใหม่จากพระเจ้า ข้อพิสูจน์แท้จริงคือ ความรักต่อพี่น้อง คริสเตียน คาอินล้มเหลวในเรื่องนี้จริงๆ

ต้นตอแห่งจิตใจที่เต็มด้วยความเกลียดชัง ความเคียดแค้นของคาอินมาจากมารซาตาน คาอินโกหกและฆ่าคนเหมือนมารซาตานที่เป็นเช่นนั้น (ยน.8:44) เขาฆ่าน้อง แล้วโกหกต่อพระองค์ เมื่อพระเจ้าถามว่า-น้องของเจ้าอยู่ที่ไหน ? เขาตอบว่าไม่รู้ ไม่รู้ ทั้งๆที่เขารู้อยู่เต็มอกว่า น้องเขา ถูกฆ่าตายไปแล้วด้วยฝีมือของตนเอง
จุดเริ่มต้นอยู่ที่การถวายเครื่องบูชา พระเจ้าไม่รับเครื่องบูชาของคาอิน เพราะเขาขาดความเชื่อ ไม่ถวายเครื่องบูชาตามที่พระเจ้ากำหนด อาแบลน้องชายเขาเชื่อฟังตามที่พระเจ้ากำหนด พระองค์จึงรับเครื่องบูชาของอาแบล แทนที่คาอินจะสำนึกผิดและกลับใจใหม่ ทำให้ถูกต้อง เขากลับมีความโกรธ ไม่พอใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มารทำงานในความคิด จิตใจของคาอินจากความโกรธ กลายเป็นความเกลียด ความเคียดแค้น และในที่สุดก็นำไปสู่ การฆาตกรรม น้องชายแท้ๆของตัวเอง ทั้งๆที่เขาได้รับคำเตือนจากพระเจ้าว่า แนวโน้มที่เขาจะทำบาปใหญ่หลวงกำลังจะเกิดขึ้นให้ระวังตัว (ปฐก.4:7) แต่คาอินก็ไม่สนใจ เขาทำตามใจตนเอง จึงกลายเป็นฆาตกรคนแรกของโลก พวกฟาริสีก็มีจิตใจอย่างเดียวกันโดยคิดที่จะกำจัดพระเยซูคริสต์ (มก.15:9,10) พระเยซูทรงเรียกพวกเขาว่า ลูกของมาร (ยน.8:44) โลกนี้เกลียดชังพระเยซูคริสต์ (ยน.15:18-25) ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกับที่ คาอินเกลียดชังอาแบล นั่นเพราะ พระเยซูคริสต์เปิดเผยความบาปของโลกนี้

เมื่อชาวโลกต้องเผชิญหน้ากับความจริงเรื่องความบาปของตนเอง ก็มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ กลับใจใหม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือ ทำลายคนที่เปิดโปง ซาตานเป็นจ้าวแห่งโลกนี้ มันควบคุมโลกนี้โดยการฆ่าและการโกหก ดังนั้นผู้ฆ่าคนด้วยความเกลียดชังจึงตกต่ำลงสู่ระดับเดียวกับมารซาตาน ชาวโลกพยายามปกปิดธรรมชาติ ที่แท้จริงไว้ภายในโดยใช้ พิธีกรรมทางศาสนา เป็นเครื่องบังหน้า แต่ผลสุดท้ายก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษ แยกจากพระเจ้าตลอดไป

2. เกลียดชัง (1ยน.3:13-15)
บางท่านคิดว่า ฉันไม่เคยฆ่าใคร แต่พระคำพระเจ้าบอกว่า คริสเตียนที่เกลียดชังคนอื่น ก็เหมือนฆาตกร (3:15; มธ.5:22) ความแตกต่างระหว่าง ฆาตกร กับ ผู้ที่เกลียดชังคนอื่นก็คือการประพฤติภายนอก แต่ความตั้งใจภายในเหมือนกัน เขาไม่ได้ฆ่าคนอื่นเพราะกลัวถูกจับ กลัวการถูกลงโทษตามกฏหมาย กลัวโทษประหารชีวิต ถ้าเขามีเสรีภาพในการเลือกเต็มที่ เขาก็คงจะเป็นฆาตกร ดังนั้นพระองค์จึงโยงเรื่องความโกรธแค้นเข้ากับการฆ่าคน (มธ.5:21-26) ในสายพระเนตรพระเจ้า ความเกลียดชังเป็นความบาปที่ร้ายแรงเพราะนำไปสู่ การฆ่าคน
คริสเตียนได้ผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว (ยน.5:24) และข้อพิสูจน์ดังกล่าว คือ เขารักพี่น้องคริสเตียน เมื่อก่อนเขาเป็นของโลกเขาจึงเกลียดชังคริสเตียน แต่เดี๋ยวนี้เขาเป็นของพระเจ้า เขาเกิดจากพระเจ้า เขาจึงรักลูกของพระเจ้าด้วยกัน
ผู้ที่ฆ่าคนสามารถกลับใจเป็นคริสเตียนได้ อ.เปาโลได้ฆ่าคริสเตียนมากมาย แต่พระคุณของพระเจ้าก็มาถึงท่าน แต่เมื่อเขากลับใจเป็นคริสเตียนแล้วเขาก็หยุดที่จะฆ่าคน ถ้าเขายังคงพฤติกรรมดังกล่าว แสดงว่าเขาไม่ได้เป็นคริสเตียน (3:15) การที่เราไม่เคยฆ่าคนอาจทำให้เราคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับบาปดังกล่าว อยากถามว่าท่านเคยเก็บความเกลียดชังไว้ในใจหรือไม่ ? ความโกรธเกลียด ทำร้ายเจ้าตัวมากกว่าคนอื่น ถ้าไม่สารภาพและขจัดออกไปจากจิตใจจะทำให้ ติดคุกทางจิตใจ มีแต่ความทุกข์ทรมานภายในใจและขาดสันติสุข

ยาแก้ความเกลียดชังที่ดีที่สุดคือ ความรัก ความโกรธเกลียดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำในใจของคนที่ยังไม่ได้รับความรอด ความคิดที่อยากเล่นงานอยากทำร้ายผู้อื่นคุกรุ่นในใจ แต่เมื่อยอมรับพระคริสต์ในใจ ความรักของพระองค์ทำให้ความเกลียดชังหายไป มีใจต้องการให้คนที่เราเกลียดชังได้รับความรอด

3. ความเฉยเมย (1ยน.3:16,17)

ความรักของคริสเตียนไม่ใช่พิสูจน์ด้วยการไม่ทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ด้วยการทำดีต่อผู้อื่น ความรักจึงมีสองด้าน คือ หยุดทำชั่ว เรียนรู้ที่จะทำดี เรามักจะจำพระธรรม ยน.3:16 แต่มี ไม่กี่คนที่จดจำ 1 ยน.3:16 พระคริสต์ได้สละชีวิตของพระองค์เป็นแบบอย่างเพื่อเราจะทำตามอย่าง พระองค์ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตรัสถึงเรื่องความรักเท่านั้น แต่พระองค์พิสูจน์ว่ารักจริงด้วยการยอมสละชีวิตเพื่อพวกเรา
การเอาตัวรอด การป้องกันตัว เป็นสัญชาติญาณของชีวิตธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ แต่การอุทิศตัวเป็นกฎข้อแรกของชีวิตฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์ แต่พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เราสละชีวิตเพื่อพี่น้อง แต่ให้เราช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสน ที่มีความเดือดร้อน เป็นการง่ายที่จะพูดเรื่องรักพี่น้องคริสเตียน แล้วก็ละเลยที่จะช่วยพี่น้องคนหนึ่งใดเมื่อเขาเกิดเรื่องเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ

พระเยซูสอนประชาชนเรื่องอะไรจากคำอุปมาชาวสะมาเรียใจดี (ลก.10:25-37) ธรรมาจารย์ต้องการทราบว่า ใครคือเพื่อนบ้าน แต่พระเยซูได้เปลี่ยนประเด็นคำถามเป็นข้าพเจ้าจะแสดงความเป็นเพื่อนบ้านกับใคร

การทดสอบความรักของคริสเตียนไม่ใช่อยู่ที่การประกาศเสียงดังว่า เรารักทุกคนในคริสตจักร แต่อยู่ที่การช่วยเหลือพี่น้องคนใดคนหนึ่งที่กำลังเดือดร้อน ถ้าเราไม่พร้อมที่จะยื่นมือช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อน เราก็คงไม่มีวันที่จะ สละชีวิตของตน เพื่อพี่น้องได้

บางครั้งเราคิดว่าไม่มีความเกลียดชังในใจของเราต่อใครทั้งสิ้น ก็เป็นอันใช้ได้ เราไม่มีมลทินบาปในใจ แต่การที่เราเฉยเมย ละเลย ไม่สนใจที่จะช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนที่กำลังเดือดร้อน ทั้งๆที่เราสามารถช่วยเขาได้ ก็ไม่ต่างจาก บาปแห่งความเกลียดชัง มากนัก เราไม่ได้รักพี่น้องอย่างแท้จริง
ถ้าจะช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อน เราต้องมี 3 อย่าง คือ

1. มีความสามารถ มีปัจจัยที่จะช่วยพี่น้องที่กำลังเดือดร้อน
2. รู้ว่าพี่น้องคนใดกำลังเดือดร้อนในเรื่องอะไร
3. มีน้ำใจที่จะช่วยเหลือ แบ่งปันสิ่งที่มีอยู่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
ถ้าเราขาดปัจจัย ขาดความสามารถที่จะช่วยเหลือ หรือถ้าเรา ไม่รู้ว่าพี่น้องกำลังเดือดร้อน เราก็ไม่ผิด แต่ถ้าเราใจจืดใจดำ ไม่ช่วยเหลือ ทั้งๆที่เรารู้ และเรามีความสามารถที่จะช่วยได้ เราก็มีความผิด เหตุผลข้อหนึ่งที่คริสเตียนทุกคนควร ทำงานมีรายได้ เพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน (อฟ.4:28) ในยุคที่มีมูลนิธิหน่วยงานมากมายที่ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือ มีสวัสดิการต่างๆของรัฐเกิดขึ้น เป็นการง่ายที่คริสเตียนจะละเลยในการช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสนหรือ มีความเดือดร้อน

ในกท.6:10 สั่งให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ การทำดีไม่จำเป็นต้องช่วยเรื่องเงินทองหรือสิ่งของเสมอไป แต่รวมถึง การปรนนิบัติ การเยี่ยมเยียน มีหลายคนในคริสตจักรที่ เหงา ขาดเพื่อน เราสามารถให้ความรักและมิตรภาพ

ถ้าท่านต้องการสัมผัสกับ ความชื่นชมยินดี แห่งความรักของพระเจ้าในใจของท่าน ท่านจะต้องรักผู้อื่นจนยอมเสียสละเงินทอง เวลา ความสามารถของท่านเพื่อเขา การเฉยเมยต่อความเดือดร้อนของพี่น้อง ทำให้ความรักของพระเจ้าในใจของท่านเยือกเย็นลง

4. ความรักแบบคริสเตียน (1ยน.3:18-24)
ความรักแบบคริสเตียน คือ รักด้วย การกระทำและด้วยความจริง ไม่ใช่รักกันด้วยคำพูดเท่านั้น ยากอบได้ยกตัวอย่างการรักกันด้วยคำพูดเท่านั้น ในยากอบ 2:15,16 “ถ้าพี่น้องชายหญิง คนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่มและอาหารประจำวัน และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้สิ่งที่เขาขัดสนนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร”
การรักกันด้วยคำพูด คือการเพียงแต่พูดถึงปัญหา ความเดือดร้อน ความต้องการของพี่น้อง เท่านั้น แต่การรักกันด้วยการกระทำคือ การลงมือปฏิบัติ เพื่อตอบสนองความต้องการนั้น บางครั้งเราคิดว่า เพราะเราได้พูดถึงเรื่องความเดือดร้อน และได้อธิษฐานเผื่อแล้ว เราก็ได้ ทำหน้าที่ของเรา ในการแสดงความรัก ความห่วงใยเสร็จแล้ว แต่แท้จริงความรักของคริสเตียนต้องทำมากกว่า คำพูด เราต้องเสียสละ โดย การกระทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน
การรักกันด้วยคำพูด หมายถึง ความรักที่ไม่จริง แต่การรักกันด้วยการกระทำคือรักด้วยความจริงจากใจ ไม่ใช่รักกันแต่ปากเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดประชาชนมากมายให้ติดตามพระเยซูคริสต์เพราะพวกเขารู้ว่า พระองค์รักพวกเขา ความรักแบบคริสเตียนทำให้เกิดการเสียสละ ถึงแม้ว่า ความรักแบบนี้ไม่ได้หวังผลตอบแทนกลับคืนมา แต่กฎของพระเจ้าคือว่า จงให้แล้วท่านจะได้รับ (ลก.6:38) ใช้ได้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของเงินทองเท่านั้น แต่เรื่องอื่นๆด้วย

บทความโดย ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล