ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสต์ศาสนา

ตอบได้ว่า สำคัญมาก สำคัญพอ ๆ กับความอยู่รอดของคริสต์ศาสนาทีเดียว เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าตามที่พระองค์อ้างไว้ หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะกระทำแล้ว คริสต์ศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสต์ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกพกลม แต่ขณะเดียวกัน หากเราสามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และประสบการณ์จากชีวิตจริงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์จริง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น       “พระเจ้ามี จริงหรือ”    “พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร”    “มนุษย์คือใคร”    “อยู่เพื่ออะไร” “กำลังจะไปไหน”     เป็นต้น เพราะพระเยซูคริสต์ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฎชัดแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าดังที่พระองค์อ้างจริง ๆ คำสอนของพระองค์ก็ต้องเป็นความจริง

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกการแสวงหาของมนุษย์ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตในรูปของศาสนาต่างๆ ความหิวกระหายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ผลักดันให้มนุษย์ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวนมัสการ เขาจึงแสวงหา และแสวงหา ศาสนาต่างๆจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ คือแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า พระเจ้าในคริสต์ศาสนากลับเป็นผู้แสวงหามนุษย์และยังได้สำแดงพระองค์เองให้ประจักษ์แก่ตามนุษย์ โดยทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่สมบูรณ์

สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใกล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้น และกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร? วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

เรื่องการเกิดของพระเยซูคริสต์มิใช่นวนิยาย มิใช่เรื่องราวที่มนุษย์แต่งขึ้น

แต่เป็นชีวิตจริงที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน คือ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์เกิดที่ตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ “เบธเลเฮม” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ในประเทศอิสราเอล พระองค์เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน บิดาเป็นช่างไม้ ชื่อ โยเซฟ มารดาชื่อ มารีย์ ทั้งสองสืบเชื้อสายจากอดีตกษัตริย์ของชาวยิว คือ กษัตริย์ดาวิด ชีวิตในวัยเด็ก และวัยหนุ่มของพระเยซูก็เหมือนสามัญชนทั่วไป ไม่มีการบันทึกไว้มากนัก จนพระองค์เริ่มพระราชกิจของพระองค์เมื่ออายุได้ 30 ปี จึงมีบันทึกเรื่องราวชีวิต และคำสอนของพระองค์ไว้ในประวัติศาสตร์     พระองค์ทรงกรำพระราชกิจ และสั่งสอนประชาชนอยู่ได้เพียง 3 ปี แต่เป็น 3 ปีที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก เรื่องราวที่ละเอียดกว่านี้หาอ่านได้จาก เอกสารชีวประวัติของพระเยซู ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ช่วงพระกิตติคุณ  มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น  ในบันทึก และคำอ้างอิงของนักประวัติศาสตร์โลก เช่น Flavius Josephus (นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 1 เกิด ค.ศ. 37) และ Plinius Secundus (นักประวัติศาสตร์โรมัน ค.ศ. 120) เป็นต้น  แม้แต่สารานุกรมอันเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วโลกฉบับล่าสุด ที่ชื่อว่า Encyclopaedia Britannica ก็ได้บรรยายถึงเรื่องราวชีวิตของพระเยซูด้วยถ้อยคำถึงสองหมื่นคำ นี่ย่อมแสดงถึงความสำคัญ และความจริงแห่งชีวิตอันน่าเชื่อถือของพระเยซูคริสต์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์

จากหนังสือ เรื่อง “เยซูคือใคร”

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)