ดังได้กล่าวไว้ในบทนำว่า พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า และคำอ้างนี้ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจหลักของพระองค์เราสามารถสรุปสาระสำคัญของภารกิจที่พระเยซูคริสต์กระทำอย่างสั้น ๆ ได้ว่า “พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อนำมนุษย์ให้เข้าถึงพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน” ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” “ (ยอห์น 14:6-7)
เพราะความสำคัญของภารกิจนี้ พระเยซูทรงต้องการให้สาวกเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับตัวพระองค์ จึงได้ถามว่า “ท่านคิดว่าเราคือใคร” และเมื่อสาวกคนหนึ่งที่ชื่อซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” แทนที่พระเยซูจะตกใจในคำตอบของสาวกผู้นั้น พระองค์กลับกล่าวชมเชยว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” (มัทธิว 16:15-17)
” ใช่แล้ว พระเยซูคริสต์อ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นคำอ้างที่โลกต้องตะลึง ” อยากให้เราพิจารณาคำอ้างของพระเยซูคริสต์ ซึ่งกล่าวถึงพระองค์เอง ดังต่อไปนี้
พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นบุคคลคนเดียวกันกับพระเจ้า“
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ตามคำบันทึกในพระคัมภีร์ เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสเช่นนี้ ทำให้พวกยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวยอมรับไม่ได้ พวกเขาตั้งใจจะฆ่าพระองค์ โดยจะหยิบก้อนหินขว้างพระองค์ แต่พระองค์ถามพวกเขาว่า “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า” พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:32-33)
อีกตอนหนึ่ง ขณะที่พระเยซูถูกพิพากษาในศาลทางศาสนาของชาวยิวนั้น พระองค์ยอมรับความเป็นพระเจ้าของพระองค์อย่างชัดเจน ตามคำบันทึกในมาระโก 14:61-64 “แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด ท่านมหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า ‘ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ควรแก่การนมัสการหรือ’ พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็นและท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพและเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า ‘เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร’ คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกันว่าควรจะมีโทษถึงตาย” (มาระโก 14:61-64) น่าสังเกตว่า ชาวยิวเป็นพวกที่นมัสการพระเจ้าองค์เดียว ฉะนั้น ปฏิกิริยาที่ชาวยิวแสดงออกมาด้วยความโกรธ หลังจากที่ได้ยินได้ฟังคำอ้างของพระเยซูคริสต์ แสดงว่าพวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ผิดพลาดว่า “พระเยซู อ้างว่าตนเองเป็นพระเจ้า”
พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต และเป็นผู้ประทานชีวิต แม้กระทั่งชีวิตหลังความตาย”
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” (ยอห์น 14:16-17)
และยังตรัสอีกว่า “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)
โปรดสังเกตว่า พระองค์ไม่ได้บอกว่า “เรารู้จักหนทางสู่ชีวิต” แต่ตรัสว่า “เราคือชีวิต และเป็นผู้นั้นที่สามารถประทานชีวิต” ฉะนั้น ถ้าผู้ใดรู้สึกเบื่อชีวิต เขาสามารถจะพบกับความครบบริบูรณ์ในชีวิต คือชีวิตที่มีความหมายในพระองค์ ขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เสียใจที่ลาซารัส น้องชายของเธอตายไป พระเยซูคริสต์ได้กล่าวคำพูดอมตะ ในฐานะผู้กุมอำนาจแห่งความตายว่า “ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:25-26)
“มีคนธรรมดาคนใดหรือที่กล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้”
พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์คือผู้พิพากษามนุษย์ ในวันสิ้นสุดของโลก”
พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนว่า “เพราะว่า พระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (ยอห์น 5:22)
และเมื่อวันสิ้นสุดของโลกมาถึง บรรดาคนที่ตายแล้วก็จะกลับเป็นขึ้นมา เพื่อรับการพิพากษาจากพระองค์ และรับผลอันควรสำหรับแต่ละคน บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่บางคนจะได้ยินพระสุรเสียงที่น่ากลัว ตรัสสั่งว่า “พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น” (มัทธิว 25:41)
และที่สำคัญกว่านั้น คือ เงื่อนไขแห่งการพิพากษา ขึ้นอยู่กับท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระองค์ ดังคำตรัสว่า
“เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 10:32-33)
อยากให้คุณพิจารณาคำอ้างที่เกินมนุษย์นี้สักนิด
สมมติว่า ถ้าวันนี้มีใครสักคนยืนขึ้น แล้วประกาศต่อสาธารณชนว่า เขาคือผู้ที่จะกลับมาในฐานะผู้พิพากษาโลก และชะตากรรมของเราขึ้นอยู่กับว่า จะเชื่อฟังคำพูดของเขาหรือไม่ คุณจะมีความเห็นต่อคนที่กล่าวคำพูดนี้อย่างไร คุณคงคิดว่าคนนี้น่าจะไปอยู่โรงพยาบาลบ้านสมเด็จ ฯ มากกว่า หรือไม่ก็ควรไปหาจิตแพทย์
เราจะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เมื่อศึกษาถึงบทวิเคราะห์คำอ้างของพระเยซูคริสต์ จุดประสงค์ของการยกขึ้นมากล่าวในที่นี้ เพียงเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ได้อ้างว่าพระองค์คือผู้พิพากษามนุษย์โลกจริง ซึ่งเป็นคำอ้างที่เราต้องสนใจเป็นพิเศษ
พระเยซูคริสต์อ้างว่า “พระองค์เป็นผู้มีสิทธิอำนาจในการยกความผิดบาปของมนุษย์ได้”
คงไม่เกินความจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า ไม่มีศาสดาคนใดในโลก ที่กล้าให้ความมั่นใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจะสามารถยกความบาป หรือลบล้างความผิดบาปของทุกคนที่ติดตามเขาได้ เรามักได้ยินคำสอนว่า “บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ” แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวที่กล้ากล่าวว่า พระองค์ทรงสามารถยกบาปผิดมนุษย์ได้
“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1ยอห์น 1:9)
ครั้งหนึ่ง มีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาเพื่อให้พระเยซูคริสต์รักษา พระเยซูคริสต์ตรัสกับคนง่อยผู้นั้นว่า
“ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มาระโก 2:5) พวกผู้นำศาสนายิวในสมัยนั้นได้ยิน ก็รู้สึกไม่พอใจ จึงกล่าวว่า “ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะยกความผิดบาปได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”
ถูกแล้ว เราเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ใครจะยกความผิดบาปของมนุษย์ได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น พระเยซูคริสต์ทรงอ้างว่า พระองค์คือพระเจ้า ที่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ และของคุณได้
พระเยซูคริสต์อ้างว่า “ท่าทีของมนุษย์ต่อพระองค์ ก็คือท่าทีต่อพระเจ้า”
โปรดสังเกตคำพูดต่อไปนี้ของพระองค์
ผู้ที่เห็นเรา ก็เท่ากับเห็นพระเจ้า
“และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 12:45)
“ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น’ ” (ยอห์น 14:9)
ผู้ที่รู้จักเรา ก็รู้จักพระเจ้า
“ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” (ยอห์น 8:19)
“ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” (14:7)
ผู้ที่เชื่อเรา ก็เชื่อพระเจ้า
“และพระเยซูทรงประกาศว่า ‘บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 12:44)
ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระเจ้า
“ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียว แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย” (มาระโก 9:37)
ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระเจ้า
“ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย” (ยอห์น 15:23)
เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์ เรามีท่าทีอย่างไรต่อพระองค์ ก็เท่ากับมีท่าทีอย่างนั้นต่อพระเจ้าด้วย
จากหนังสือ เรื่อง “เยซูคือใคร”
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)