“ร่วมสามัคคีธรรมในกลุ่มพัฒนาชีวิต”

“คนที่ปลีกตัวไปจากผู้อื่นจงใจกระทำตามใจตนเอง และค้านคติแห่งสติปัญญาทั้งหลาย”(สภษ.18:1) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นชุมชน แต่ปัจจุบันนี้มีคนไม่น้อยที่มีพฤติกรรมแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว ความเป็นส่วนตัวเป็นอะไรที่คนเหล่านี้หวงแหนและถือว่าสำคัญยิ่ง เขาได้พัฒนาเป็นวิถีชีวิตของเขา มันสุขสบายและไม่มีปัญหามากมายที่เกิดจากการคบหาและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่พระคำพระเจ้าระบุชัดเจนว่าเป็นวิถีชีวิตที่ไม่ฉลาด เป็นการแยกตัวเองออกไปและนำสู่ชีวิตที่ไม่เป็นไปอย่างที่พระผู้สร้างออกแบบไว้ โดยเฉพาะคนที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ชีวิตใหม่จะพัฒนาเติบโตอย่างสมดุลย์ไม่ได้เลยถ้าคนๆนั้นแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว

“เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่”

คริสตจักรจะเพิ่มพูนอย่างยั่งยืนได้ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ผู้เชือใหม่ที่เข้ามาในคริสตจักรและคนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของสมาชิก คนเหล่านี้ต้องการผู้ที่จะดูแล หนุนใจและเสริมสร้างให้เข้มแข็งและมีจิตใจอุทิศตัวเพื่อพระคริสต์ การปล่อยปละละเลยคนเหล่านี้จะทำให้คริสตจักรหยุดนิ่งหรือถดถอยในที่สุด เพราะสมาชิกที่มีอยู่ ที่สัตย์ซื่อผูกพันตัวเองกับคริสตจักรจะค่อยๆจากไปกาลเวลา ขาดแคลนผู้รับใช้รุ่นใหม่ และคนใหม่ๆที่จะมาทดแทน

“รู้ความจริงในพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้”

“พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา ครั้นถึงแล้วท่านจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว ยิวชาวเมืองนั่นมีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขามีใจเลื่อมใสรับพระวจนะของพระเจ้า และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่”(กจ.17:10-11)

“ความยำเกรงพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์”

ความต้องการที่จะมีอำนาจในการนำ ในการควบคุมสั่งการและการปกครองได้ทำให้บางคนไม่สนใจหลักความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า เขาพร้อมที่จะทำสิ่งที่เป็นความผิดบาปเพื่อรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ยกตัวอย่างกษัตริย์เยโรโบอัมซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรเหนือ(อิสราเอล) ปกครองอิสราเอล 10 เผ่า พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะฉีกอาณาจักรของซาโลมอนออกมามอบให้เขาได้ปกครอง และก็เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อได้อำนาจมาปกครองแล้ว แทนที่จะสำนึกในพระเมตตาคุณของพระเจ้า เยโรโบอัมได้สร้างรูปปั้นวัวทองคำ2ตัว และสั่งให้ชนอิสราเอล 10 เผ่ากราบไหว้วัวทองคำโดยไม่ต้องเดินทางไปที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม(1พกษ.12:25-33)

“คริสเตียนต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ”

วันนี้เป็นวันเพ็นเทคอสซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งของชาวยิวและคริสตชนทั่วโลก สำหรับชาวยิววันเพ็นเทคอสเป็นเทศกาลสำคัญที่พระเจ้าได้กำหนดให้ชาวยิวทั้งปวงมารวมตัวที่พระวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้าเป็นเทศกาลสัปดาห์ (เพ็นเทคอส)

“เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการไว้วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า”

ให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการไว้วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า คนในโลกนี้มีความวิตกกังวลถึงเรื่องความอยู่รอดในแต่ละวัน กังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กังวลเรื่องอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นพระองค์สามารถจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นแก่เราได้

“ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักร”

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักรจะได้รับการหล่อเลี้ยงเมื่อทุกคนตระหนักถึงความเหมือนกันที่แต่ละคนมีอยู่ในชีวิตของการเป็นสาวกของพระเยซู นั่นคือการเป็นอวัยวะในกายเดียวกัน การมีพระวิญญาณองค์เดียวกัน การมีความหวังในในความรอดเหมือนกัน การมีความเชื่อเดียวกัน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวกัน รับบัพติสมาเข้าในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน มีพระบิดาเดียวกัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่งของพวกเราทุกคน (อฟ.4:4-6)

“ไฟแห่งการเก็บเกี่ยว”

วันนี้สมาชิกของคริสตจักรส่วนหนึ่งได้ไปร่วมค่าย”ไฟแห่งการเก็บเกี่ยว”ซึ่งเป็นค่ายขององค์กรพระกิตติคุณสมบูรณ์สัมพันธ์ในประเทศไทย(Full Gospel Assemblies of Thailand) คริสตจักรใจสมานเป็นสมาชิกอยู่ในองค์กรนี้ เราจึงสนับสนุนค่ายดังกล่าวซึ่งจะมีผู้นำและสมาชิกจากคริสตจักรต่างๆทั่วประเทศไทยประมาณ70กว่าคริสตจักรมาร่วมในค่ายนี้

“สงกรานต์”

ทุกปีในช่วงสงกรานต์คนไทยจะเสียชีวิตเป็นจำนวนร้อยและบาดเจ็บเป็นพันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นการสูญเสียที่ชาวต่างชาติที่ได้ยินข่าวแล้วตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดขึ้นได้ทุกปีโดยไม่มีทางแก้ไข ไม่ว่ากี่รัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งความตายของคนไทยในช่วงสงกรานต์ได้ ทั้งนี้เพราะพื้นฐานนิสัยและความเชื่อของคนไทย

“วันผู้สูงอายุ”

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีวันหยุดยาวเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว เป็นวันรวมญาติของคนไทยรัฐบาลจึงกำหนดให้เป็นวันผู้สูงอายุเพื่อเน้นให้ลูกหลานเห็นความสำคัญของญาติผู้ใหญ่และแสดงความกตัญญู ค่านิยมที่ดีของสังคมไทยที่กำลังหายไปคือการรู้จักให้เกียรติแก่ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสคนรุ่นใหม่มักจะละเลยไม่แสดงความสัมมาคารวะ เพราะคิดว่าไม่สำคัญและไม่จำเป็นในพระคำของพระเจ้ามีบัญญัติในเรื่องนี้“เจ้าจงลุกขึ้นคำนับคนผมหงอกและเคารพคนชรา และจงยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเราคือพระเจ้า” ( ลวน.19:32)