“การถวาย”

ถึงแม้ว่าจะมีคำท้าทายจากพระเจ้าในเรื่องของการถวายสิบลดหรือทศางค์ (มลค.3:10-12) โดยพระองค์สัญญาว่าจะเทพระพรอย่างล้นไหลมาให้กับผู้ที่รับคำท้าทายของพระองค์ ก็ยังมีคริสเตียนหลายคนลังเลใจที่จะรับคำท้าจากพระเจ้าในเรื่องนี้ อุปสรรคที่สำคัญมีสองอย่างคือ ความกลัวและความเสียดาย ความกลัวเกิดจากการคิดคำนวณว่ารายรับอาจจะไม่พอกับรายจ่าย ถ้าต้องถวายสิบลดก็จะยิ่งมีน้อยลงไปอีก จึงกลัวว่าจะขัดสนไม่พอใช้จ่าย ดังนั้นจึงไม่กล้ารับคำท้าของพระเจ้า เพราะไม่เชื่อใจว่าพระเจ้าจะรักษาคำพูดของพระองค์ ถ้าถวายแล้วพระเจ้าไม่ทำตามสัญญา เราก็แย่ ใครจะรับผิดชอบ ดังนั้นสำหรับบางคนที่ไม่ถวายสิบลดก็เพราะขาดความเชื่อในพระคำของพระเจ้า

“การส่งต่อความเชื่อ”

การส่งต่อความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะคนแต่ละรุ่นมีเวลาที่จำกัดในโลกนี้ ถ้าไม่ส่งต่อความเชื่อในพระเจ้าให้คนรุ่นใหม่ พวกเขาก็คงมีแต่ศาสนาและประเพณีปฏิบัติในเรื่องของพระเจ้า แต่ขาดความเชื่อที่มีพลัง ความเชื่อที่มีชีวิต เรื่องทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับคริสตจักรในยุโรปหลายประเทศ ในอดีตประชากรในประเทศเหล่านั้นมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเกือบทั้งประเทศ การเข้าโบสถ์เพื่อนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันทั่วประเทศ แต่ปัจจุบัน

“การประกาศข่าวประเสริฐและการสร้างผู้เชื่อ”

คริสตจักรบางแห่งจะเน้นการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆเพื่อดึงดูดให้สมาชิกเข้าร่วมกิจกรรม ทำให้มีบรรยากาศคึกคักตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ แต่การทำเช่นนั้นทำให้ต้องใช้เวลาไปกับการจัดเตรียมทำกิจกรรมจนกระทั่งไม่มีเวลาทุ่มเทในการเลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่แบบตัวต่อตัวเพื่อวางรากฐานแห่งความเชื่ออย่างต่อเนื่อง ผลเสียที่ตามมาคือผู้เชื่อใหม่จะอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็หลุดหายไปจากคริสตจักร ขาดคนที่จะติดตามเยี่ยมเยียนเพราะกำลังหลักของผู้นำต้องถูกดึงตัวไปเตรียมกิจกรรมต่างๆของคริสตจักร

“ร่วมสามัคคีธรรมในกลุ่มพัฒนาชีวิต”

“คนที่ปลีกตัวไปจากผู้อื่นจงใจกระทำตามใจตนเอง และค้านคติแห่งสติปัญญาทั้งหลาย”(สภษ.18:1) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นชุมชน แต่ปัจจุบันนี้มีคนไม่น้อยที่มีพฤติกรรมแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว ความเป็นส่วนตัวเป็นอะไรที่คนเหล่านี้หวงแหนและถือว่าสำคัญยิ่ง เขาได้พัฒนาเป็นวิถีชีวิตของเขา มันสุขสบายและไม่มีปัญหามากมายที่เกิดจากการคบหาและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่พระคำพระเจ้าระบุชัดเจนว่าเป็นวิถีชีวิตที่ไม่ฉลาด เป็นการแยกตัวเองออกไปและนำสู่ชีวิตที่ไม่เป็นไปอย่างที่พระผู้สร้างออกแบบไว้ โดยเฉพาะคนที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ชีวิตใหม่จะพัฒนาเติบโตอย่างสมดุลย์ไม่ได้เลยถ้าคนๆนั้นแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว

“เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่”

คริสตจักรจะเพิ่มพูนอย่างยั่งยืนได้ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ผู้เชือใหม่ที่เข้ามาในคริสตจักรและคนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของสมาชิก คนเหล่านี้ต้องการผู้ที่จะดูแล หนุนใจและเสริมสร้างให้เข้มแข็งและมีจิตใจอุทิศตัวเพื่อพระคริสต์ การปล่อยปละละเลยคนเหล่านี้จะทำให้คริสตจักรหยุดนิ่งหรือถดถอยในที่สุด เพราะสมาชิกที่มีอยู่ ที่สัตย์ซื่อผูกพันตัวเองกับคริสตจักรจะค่อยๆจากไปกาลเวลา ขาดแคลนผู้รับใช้รุ่นใหม่ และคนใหม่ๆที่จะมาทดแทน

“รู้ความจริงในพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้”

“พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา ครั้นถึงแล้วท่านจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว ยิวชาวเมืองนั่นมีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขามีใจเลื่อมใสรับพระวจนะของพระเจ้า และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่”(กจ.17:10-11)

“ความยำเกรงพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์”

ความต้องการที่จะมีอำนาจในการนำ ในการควบคุมสั่งการและการปกครองได้ทำให้บางคนไม่สนใจหลักความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า เขาพร้อมที่จะทำสิ่งที่เป็นความผิดบาปเพื่อรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ยกตัวอย่างกษัตริย์เยโรโบอัมซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรเหนือ(อิสราเอล) ปกครองอิสราเอล 10 เผ่า พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะฉีกอาณาจักรของซาโลมอนออกมามอบให้เขาได้ปกครอง และก็เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อได้อำนาจมาปกครองแล้ว แทนที่จะสำนึกในพระเมตตาคุณของพระเจ้า เยโรโบอัมได้สร้างรูปปั้นวัวทองคำ2ตัว และสั่งให้ชนอิสราเอล 10 เผ่ากราบไหว้วัวทองคำโดยไม่ต้องเดินทางไปที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม(1พกษ.12:25-33)

“คริสเตียนต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ”

วันนี้เป็นวันเพ็นเทคอสซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งของชาวยิวและคริสตชนทั่วโลก สำหรับชาวยิววันเพ็นเทคอสเป็นเทศกาลสำคัญที่พระเจ้าได้กำหนดให้ชาวยิวทั้งปวงมารวมตัวที่พระวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้าเป็นเทศกาลสัปดาห์ (เพ็นเทคอส)

“เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการไว้วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า”

ให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการไว้วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า คนในโลกนี้มีความวิตกกังวลถึงเรื่องความอยู่รอดในแต่ละวัน กังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กังวลเรื่องอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นพระองค์สามารถจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นแก่เราได้

“ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักร”

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักรจะได้รับการหล่อเลี้ยงเมื่อทุกคนตระหนักถึงความเหมือนกันที่แต่ละคนมีอยู่ในชีวิตของการเป็นสาวกของพระเยซู นั่นคือการเป็นอวัยวะในกายเดียวกัน การมีพระวิญญาณองค์เดียวกัน การมีความหวังในในความรอดเหมือนกัน การมีความเชื่อเดียวกัน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวกัน รับบัพติสมาเข้าในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน มีพระบิดาเดียวกัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่งของพวกเราทุกคน (อฟ.4:4-6)