(ยน.5:6-21)

โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จนมีคำกล่าวว่า สิ่งที่แน่นอนคือ ความไม่แน่นอน แต่ก็มีบางคนกล่าวว่า สิ่งที่แน่นอนของคนเรา คือการเสียภาษีให้รัฐและความตาย สำหรับคริสเตียนมีความมั่นใจในความจริงหลายประการที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้รู้ มนุษย์มีความต้องการลึกๆในใจที่จะค้นให้พบความจริงเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นจึงมีอาชีพหมอดู ทำนายโชคชะตาและอนาคต ซึ่งเป็นอาชีพเก่าแก่หลายพันปี ยังเป็นที่นิยมแม้จนทุกวันนี้ ไม่ใช่เฉพาะพวกชาวบ้านเท่านั้นที่ไปหาหมอดู แต่พวกนักธุรกิจ นักการเมือง นักปกครองประเทศก็พึ่งพาอาศัยหมอดูเพื่อจะ ได้รู้อนาคตของตนและบ้านเมืองว่าจะเป็นอย่างไร
ชีวิตของคริสเตียนวางอยู่บนรากฐานของความจริงที่พบใน พระเยซูคริสต์ โลกนี้มักจะเยาะเย้ยคริสเตียนว่าหลงงมงาย ไม่มีเหตุผล แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความมั่นใจของคริสเตียนที่จะพูดว่า ข้าพเจ้ารู้แน่ ข้าพเจ้ามั่นใจ สิ่งที่ยอห์นได้ประกาศชัดเจนถึงความรู้และความเข้าใจของคริสเตียนคือ

1. พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า (ยน.5:6-10)
สมัยของพระเยซูคริสต์มีคนต่อต้านและใส่ร้ายพระองค์มากมาย หาว่าพระองค์เสียสติ พระองค์เป็นจอมหลอกลวง สมัยที่ยอห์นเขียนจดหมายฝากก็มีคำสอนเท็จว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แต่ยอห์นได้อ้างคำพยานที่หนักแน่นชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้า 3 ประการ

ประการแรก คือ น้ำ เมื่อตอนที่พระเยซูได้รับบัพติศมาในน้ำ มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ ยืนยันว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (มธ.3:13-17) พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือ พระองค์

ประการที่สอง คือ พระโลหิต ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะถูกจับ พระบิดาตรัสจาก ฟ้าสวรรค์อีกครั้ง (ยน.12:28) การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ทำให้ม่านของพระวิหารขาดออกจากกัน เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดทางใหม่ให้แก่มนุษย์เข้าถึงพระบิดา

ประการที่สาม คือ พระวิญญาณ พระองค์เสด็จมาเพื่อเป็นพยานถึงพระคริสต์ (ยน.15:26;16:14) เราวางใจในคำพยานของพระวิญญาณได้เพราะพระองค์เป็นพระวิญญาณแห่งความจริง คำพยานของพระองค์เกิดขึ้นภายในจิตใจ ทำให้เรามีความมั่นใจ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ พระองค์ตอกย้ำความจริงของพระคำในใจของเรา และคำพยานของพระวิญญาณยืนยันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ”

2. ผู้เชื่อมีชีวิตนิรันดร์ (ยน.5:11-13) พระวิญญาณเป็นพยานภายในใจและพยานจากพระคำของพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เป็น ของประทาน จากพระเจ้า เรารับชีวิตนิรันดร์ในพระคริสต์ เพราะชีวิตนี้มีอยู่ในพระองค์ เรารับได้โดยความเชื่อในพระคริสต์ พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อมี ความมั่นใจ ในความรอด มั่นใจในการเป็นบุตรของพระเจ้า วันใดที่เราจากโลกนี้ไป วันนั้นเราได้เข้าส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

3. พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน (5:14,15) มนุษย์ที่เป็นบิดาดูแลเอาใจใส่ลูกของตน พระบิดาของเราในสวรรค์จะสนใจและตอบคำอธิษฐานของลูกๆของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้หรือไม่ ? แน่นอน เราสามารถทูลอธิษฐานทุกเรื่องต่อพระเจ้าได้โดยตรง แต่การที่พระเจ้าจะตอบสนองต่อคำอธิษฐานของเรา เราต้องพิจารณาแนวทางของการอธิษฐานทูลขอ

ประการแรก เราต้องมีจิตใจที่ปราศจากการฟ้องกล่าวโทษตัวเอง ( ยน.3:21,22) บาปที่ยังไม่สารภาพเป็นอุปสรรคกีดขวางคำตอบจากพระเจ้า เราต้องอยู่ในพระคริสต์ด้วยความเชื่อและ ความรัก

ประการที่สอง เราต้องอธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้า โรเบิร์ต ลอว์ กล่าวว่า “การอธิษฐานเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพมาก แต่ไม่ใช่เพื่อให้ความต้องการของมนุษย์จะได้สำเร็จในสวรรค์แต่เพื่อให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จบนแผ่นดินโลก บางครั้งเราต้องอธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของข้าพระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์” ทั้งนี้เพราะเรา ไม่รู้น้ำพระทัยพระเจ้า แต่ส่วนใหญ่เราสามารถรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดย อ่านพระคำพระเจ้าและฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราอธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรามีความ มั่นใจว่าพระเจ้าตอบ แม้เราจะยังไม่เห็นคำตอบนั้นก็ตาม ในพระคัมภีร์และในประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยบันทึกคำตอบของพระเจ้าที่มีต่อ คำอธิษฐานของคริสเตียน การอธิษฐานเป็น วิธีการที่พระเจ้ากำหนด เพื่อพระองค์จะให้สิ่งที่เตรียมไว้สำหรับลูกของพระองค์ การอธิษฐานทำให้ความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับพระเจ้าใกล้ชิดและทำให้พระพรฝ่ายวิญญาณไหลต่อเนื่อง เข้าสู่ชีวิต เราไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นลูกที่เข้าหาพ่อผู้ที่ทรงรักและต้องการให้สิ่งดีแก่ลูกที่ทูลขอต่อพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ขณะพระองค์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ พระองค์ใช้เวลาอธิษฐานต่อพระบิดาสม่ำเสมอ (มก.1:35)

4. คริสเตียนไม่ทำบาป (5:16-19) การทำบาปในที่นี้ หมายถึง ทำบาปเป็นนิสัย เป็นกิจวัตร เพราะคริสเตียนแท้มีธรรมชาติใหม่ที่ได้รับจากพระเจ้า ทำให้เขามีจิตใจใหม่ ไม่สนใจใฝ่ใจที่จะทำบาป คริสเตียนมีศัตรู หลักอยู่ 3 อย่าง คือ โลก เนื้อหนัง และมารซาตาน และทั้งสามชักจูงให้ คริสเตียนทำบาป ซาตานมีกลยุทธมากมายที่จะล่อลวงให้ผู้เชื่อทำบาป และพร้อมที่จะซ้ำเติมเมื่อเพลี่ยงพล้ำ เนื้อหนังเป็น ธรรมชาติเก่าที่พยายามจะกลับมามีอิทธิพลบังคับชีวิตของเรา ระบบของโลกนี้ก็ยั่วยวนให้เราคล้อยตามเนื้อหนังและใช้ชีวิตในความบาป ถ้าเช่นนั้นผู้เชื่อจะรักษาชีวิตจาก การทำบาป ได้อย่างไร ? พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบ พระองค์สามารถปกป้องผู้เชื่อให้พ้นจากการครอบงำของมารซาตานได้ เรื่องราวของเปโตรช่วยให้เรามีความกระจ่างในเรื่องนี้มากขึ้น ในลูกา 22:31,32 พระเยซูคริสต์ได้เปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ซาตานต้องขออนุญาตก่อนที่มันจะทดลองสาวก และพระเยซูได้อธิษฐานเผื่อเปโตร จึงทำให้เปโตรกลับตั้งหลักได้อีกครั้ง แม้จะปฎิเสธพระเยซูไปแล้วถึงสามครั้ง ”

เมื่อใดที่มารซาตานโจมตีเรา แสดงว่าพระเจ้าอนุญาต และแสดงว่าพระเจ้าจะประทานอำนาจ ให้แก่เราเพื่อจะชนะได้ พระเจ้าจะไม่อนุญาตให้เรา ถูกทดลอง เกินกว่าที่จะทนได้ (1 คร.10:13) เอกลักษณ์ของคนหนุ่มฝ่ายวิญญาณ ก็คือเขามีชัยชนะเหนือมารซาตาน ( ยน.2:13,14) และเคล็ดลับที่ทำให้พวกเขามีชัยชนะ คือ พระคำพระเจ้าที่อยู่ในชีวิต อาวุธฝ่ายวิญญาณที่ทรง พลานุภาพในการปราบมารซาตานคือ พระแสงของพระวิญญาณ (อฟ.6:17)

เมื่อผู้เชื่อพลาดล้มลงในความบาป เขาสามารถ สารภาพความบาป รับการอภัย ( ยน.1:9) แต่เขาจะไม่เล่นกับความบาป เพราะรู้ว่า มันนำไปสู่ความตาย ถ้าใครก็ตามที่เล่นกับความบาปสนุกกับความบาป ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่มีธรรมชาติของพระเจ้าในตัวของเขา และเขาไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แต่บางครั้งลูกของพระเจ้าบางคนมีความดื้อรั้นและทำตามใจตัวเอง เพลี่ยงพล้ำในความบาปไม่ยอมกลับใจใหม่จริงๆ พระเจ้าซึ่งเป็นพระบิดาก็ต้องใช้มาตรการ ตีสอนให้เจ็บ (ฮบ.12:5-11) และถ้าเราเห็นคริสเตียนคนใดทำบาป เราควร อธิษฐานเผื่อเขา (ยน.5:16) ให้เขา กลับใจใหม่

5. ชีวิตคริสเตียนเป็นของจริง ของแท้ (ยน.5:20,21) พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์เป็นความจริง ชีวิตในพระองค์เป็น ของแท้ เป็นของจริง ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นของแท้ ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ วิญญาณอื่นๆ เป็นของเลียนแบบไม่ใช่ของแท้ คริสเตียนอยู่ในบรรยากาศของความเป็นจริงเพราะมาจากพระเจ้า แต่คนของโลกนี้อยู่ในมายา การโกหกหลอกลวง การสร้างภาพ เบื้องหลัง คือ มารซาตาน ผู้ล่อลวง คริสเตียนได้รับแสงสว่างจากพระเจ้า ทำให้แยกแยะความจริงกับ การหลอกลวงได้ แต่ก็ต้องระวังบาปของการไหว้รูปเคารพในชีวิตของผู้เชื่อ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะรูปปั้นเท่านั้น แต่หมายถึงทรัพย์สมบัติ วัตถุสิ่งของ ตำแหน่งหน้าที่การงาน สิ่งใดก็ตามที่เรามอบชีวิตให้เพื่อรับใช้สิ่งนั้นเป็นพระเจ้า เรานมัสการสิ่งนั้นในชีวิตของเรา มารซาตานได้ล่อลวงพระเยซูด้วยความมั่งคั่งและศักดิ์ศรีทั้งหมดของโลกนี้ โดยแลกกับการกราบนมัสการมารซาตาน พระเยซูไม่ยอมกราบนมัสการสิ่งใด ผู้ใดนอกจากพระเจ้า พระบิดา (มธ.4:10) พระเจ้าจึงห้ามเราเรื่องการไหว้รูปเคารพเพราะมารจะเข้าครอบงำเราได้ เมื่อเราให้สิ่งใด คนใด เป็นที่หนึ่งในชีวิตของเราแทนที่ พระเจ้าเที่ยงแท้ เราก็ทำผิดบาปเรื่องการไหว้รูปเคารพ เรากำลังใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่หลอกลวงแทนที่จะใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่แท้จริง

คนของโลกนี้ เห็นว่าชีวิตคริสเตียนเพ้อฝัน ไร้สาระ ไม่ใช่ของแท้จริง พวกเขาเห็นว่าชีวิตฝ่ายโลกที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ เป็นของแท้ ของจริง ทั้งนี้เพราะว่าเขาดำเนินชีวิต ตามที่ตามองเห็น ดำเนินชีวิตตาม ความรู้สึก ไม่ใช่ตามพระวจนะของพระเจ้า สิ่งมองเห็นได้ไม่จีรังยั่งยืน สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นสิ่งนิรันดร์ (2 คร.4:18) รูปเคารพเป็นสิ่งชั่วคราว พระเยซูคริสต์ดำรงอยู่นิรันดร์ คนของโลกนี้โอ้อวดถึงภูมิความรู้ของเขา ปัญญาของเขา แต่คริสเตียนอยู่ในความจริงและแสงสว่างของพระเจ้า โลกนี้พูดเรื่องความรักมากมาย แต่ก็เสียใจและผิดหวังกับความรักตลอดเวลา เพราะมันเป็นความรักชั่วคราว แต่คริสเตียนอยู่ในความรักแท้ ความรักนิรันดร์ เพราะพระเจ้าทรงเป็น ความรัก คริสเตียนได้ออกจากการไหว้รูปเคารพ การปรนนิบัติสิ่งอนิจจังของโลกนี้ ซึ่งจบลงในความว่างเปล่า มาสู่การปรนนิบัติ พระเจ้าเที่ยงแท้ (1 ธส.1:9) ปลายทางคือชีวิตนิรันดร์ ”

 บทความโดย โดย ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล