เรามีชีวิตอยู่ในสังคมซึ่งคนทั่วไป จำเป็นต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องอยู่กับความสำเร็จ บรรดานักธุรกิจต่างแสวงหาความสำเร็จให้แก่ธุรกิจของตนเอง นักศึกษาต้องทำงานและศึกษาอย่างหนักเพื่อจะประสพความสำเร็จในการศึกษา ตามที่ตนได้มุ่งหมายไว้ สามีภรรยาต้องทำงานหนักเพื่อทำให้ชีวิตครอบครัวพบกับความสำเร็จ พ่อแม่ปรารถนาความสำเร็จในการเลี้ยงดูบุตรของตน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะวางแผนเพื่อความล้มเหลว
ปัญหาอยู่ตรงการพยายามจะให้คำจำกัดความของ “ความสำเร็จ” ความสำเร็จของคนหนึ่งอาจจะไม่ใช่ความสำเร็จของอีกคนหนึ่ง เราแต่ละคนอาจมีมาตรฐานการวัดความสำเร็จแตกต่างกัน คำจำกัดความที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะหยิบยกมากล่าวคือ “การวางแผนว่าจะทำบางสิ่ง และทำให้สำเร็จ” การให้คำจำกัดความนี้เป็นการเน้นเพียงเป้าหมาย โดยไม่ได้กล่าวถึงวิธีการหรือหนทางที่จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจุบันจึงดูเหมือนว่ามีคนไม่น้อยประสบความสำเร็จแต่ลึกไปกว่านั้นพวกเขาต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ในแวดวงของธุรกิจย่อมหนีไม่พ้นการโกหก หลอกลวง และคดโกงเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ นักศึกษาทุจริตในการสอบเพื่อจะมีความสำเร็จในการเรียน นี่เป็นวิธีการของโลก แต่เราไม่ใช่คนของโลก พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ปนะโยชน์อะไร” (มาระโก 8 : 36) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ถ้าท่านประสบความสำเร็จแต่ต้องสูญเสียความสัตย์ซื่อตลอดจนความน่าเชื่อถือจะมีประโยชน์อันใด
ถ้าอย่างนั้น อะไรคือความสำเร็จของคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษยาภิบาล เราไม่ควรยอมให้มาตรฐานของโลกนี้มากำหนด หรือเป็นเครื่องบ่งชี้ความสำเร็จของเรา หนทางที่ถูกต้องคือเราจะต้องมองที่พระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ เพื่อจะค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำว่า ” ความสำเร็จ ”
มาเธอร์เทเรซา ( Mother Theresa) แห่งกัลกัตตาเคยกล่าวว่า “พระเจ้าไม่ได้เรียกพวกเรามาให้ประสบความสำเร็จ แต่ทรงเรียกให้มาเป็นคนสัตย์ซื่อต่างหาก” คำเหล่านี้มีความหมายกินใจอย่างลึกซึ้ง และต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญ มาเธอร์เทเรซากำลังบอกเราว่า ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและต่องานที่พระองค์ทรงมอบหมายให้เราทำเป็นสิ่งที่เราต้องยึดไว้เป็นเป้าหมาย อันแท้จริงในชีวิตของเรา หลายคนคิดว่าความสำเร็จของศิษยาภิบาลคือ การมีคริสตจักรใหญ่โต มีสมาชิกเป็นร้อยเป็นพัน หรือเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งเป็นวิธีวัดความสำเร็จแบบชาวโลกแต่ไม่ใช่แบบพระเจ้า ศิษยาภิบาลในคริสตจักรเล็กๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดก็สามารถประสพความสำเร็จได้เท่า ๆ กับศิษยาภิบาลที่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่าพระเจ้าทรงใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการวัดความสำเร็จ ?
ดาวสัน ทรอตแมน ผู้ก่อตั้ง navigators กล่าวว่า “เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อชีวิตตนเอง แต่ให้พระเจ้ารับผิดชอบภาระแห่งการปรนนิบัติรับใช้ของเรา ” กุญแจแห่งความสำเร็จของศิษยาภิบาลคือความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง และความสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า
ผมเชื่อว่ามีอยู่ 4 ประการ ซึ่งเราจำเป็นต้องพัฒนาเรื่องความสัตย์ซื่ออย่างจริงจังครบถ้วนแล้วพระเจ้าจะประทานความสำเร็จให้เรา
ประการแรก
เราจะต้องสัตย์ซื่อต่อการอธิษฐานส่วนตัวกับพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เพราะไม่มีอะไรสำคัญต่อชีวิตการเป็นศิษยาภิบาลและการปรนนิบัติรับใช้ การอธิษฐานเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จในการรับใช้ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอธิษฐานและเป็นแบบอย่างแก่เรา “ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” (มาระโก1:35) พระองค์ทรงรู้ถึงความสำเร็จของการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างพระองค์เองกับพระบิดา ทรงตระหนักถึงการสดับฟังพระสุรเสียงของพระบิดา เพื่อทราบถึงสิ่งที่พระบิดามพระประสงค์ให้พระองค์กระทำ” …..เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้…..” (ยอห์น 5 : 19) ถ้าการอธิษฐาน และการแสวงหารน้ำพระทัยของพระบิดาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระเยซูคริสต์ถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดสำหรับพวกเราในการอธิษฐานแต่ละวัน
ข้อสำคัญคือ ค้นให้พบว่าอะไรคือแผนการของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร และงานรับใช้อย่าวางแผนการด้วยตัวเอง ศิษยาภิบาลที่ประสพความสำเร็จคือ ผู้ค้นพบว่าพระเจ้าต้องการให้เขาทำอะไร แล้วพยายามปฏิบัติตามโดยร่วมมือกับพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ
ประการที่ 2
เราจะต้องสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า เพราะเป็นอาวุธซึ่งพระองค์ประทานแก่เราไว้ต่อสู้กับซาตาน พระเยซูทรงใช้อาวุธเดียวกันนี้ในการต่อต้าน และทำให้ซาตานพ่ายแพ้ (มัทธิว4 : 1-17 ) เราต้องเลี้ยงดูวิญญาณจิตของเราโดยป้อนอาหารคือพระวจนะของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพราะจากพระวจนะนั้นเราได้รับปัญญา ความรู้ และอำนาจเพื่อใช้ในชีวิตการปรนนิบัติที่เรามีภาระรับผิดชอบอยู่ ไม่เพียงพอเลยถ้าท่านจะอ้างว่าท่านอ่านพระคัมภีร์เมื่อวานนี้แล้ว ถ้าศิษยาภิบาลไม่อ่านพระวจนะบ่อยเท่ากับการรับประทานอาหาร เขาก็จะเป็นผู้อดอยากฝ่ายวิญญาณ
ในพระธรรมโยบ 23 : 12 “….ข้าตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าเจตนาของข้า” หลังจากที่เราได้รับพระวจนะแล้วเรารู้สึกหิวอีกแน่นอน เป็นความจริงที่ว่า เมื่อคนเราดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยปราศจากอาหารเป็นเวลายาวนาน ในไม่ช้าเราจะรู้สึกหิวและต้องการอาหาร ขั้นสุดท้ายของโรคขาดอาหารคือความตายคลืบคลานใกล้เข้ามาและตายโดยไม่รู้ตัว คริสเตียนบางคนอยู่ในลักษณะนี้ เมื่อเขาอดพระวจนะของพระเจ้าเป็นเวลานาน เขาจนเริ่มตายฝ่ายจิตวิญญาณทีละน้อย ๆ ไม่มีศิษยาภิบาลคนใดสามารถคาดหวังว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง เว้นแต่ว่าเขาจะรู้จักฝึกตนเองให้มีวินัยในการเลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณด้วยพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆวัน
ศิษยาภิบาลจะต้องมีความสัตย์ซื่อต่อการเทศนาและสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าตามพระคัมภีร์ มีศิษยาภิบาลบางคนพยายามบิดเบือนหรือดัดแปลงพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้ผู้ฟังพอใจ ศิษยาภิบาลไม่มีสิทธิอำนาจใด ๆ เปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้า บาปก็คือ “บาป” วันยังค่ำและความบริสุทธิ์ก็คือ “ความบริสุทธิ์” ตลอดกาล คริสตจักรมีชีวิตอยู่ได้และเจริญเติบโตในหลาย ๆ ธรรมเนียมและภาษา แต่ศิษยาภิบาลจะต้องเทศนาและสั่งสอนความจริงในพระวจนะอย่างสัตย์ซื่อ ศิษยาภิบาลที่ประสบความสำเร็จได้ทุก ๆ วัฒนธรรมคือ ผู้ที่เข้าใจ และเทศนาตามที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของผู้ฟังได้
ประการที่3
ศิษยาภิบาลผู้ประสบความสำเร็จ คือบุคคลที่มีความสัตย์ซื่อในการประกาศ ศิษยาภิบาลไม่เพียงแต่เป็นผู้เลี้ยงแกะ คือดูแลสมาชิกของคริสตจักรในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ต้องมีภาระรับผิดชอบการเรียกร้องข่าวประเสริฐในชุมชนซึ่งเขาอาศัยอยู่ด้วย บางคนกล่าวว่าเขาไม่มี “ของประทาน” เรื่องการประกาศ นี่เป็นข้อแก้ตัวประการหนึ่ง การประกาศเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงซึ่งผู้เชื่อทุกคนต้องมี แล้วศิษยาภิบาลเล่าจะหลีกเลี่ยงได้หรือ ?
อย่างไรก็ตามถ้าศิษยาภิบาลผิดพลาดในข้อนี้ก็เท่ากับขาดการกระทำอันเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่นก็พลอยไม่ประกาศไปด้วย ถ้าไม่มีใครประกาศคริสตจักรก็จะไม่เจริญเติบโต และศิษยาภิบาลนั้นแหละที่ต้องอดทนต่อคำตำหนิเหล่านั้น
ประการสุดท้าย
ศิษยาภิบาลผู้ประสบความสำเร็จคือบุคคลที่ซื่อสัตย์ในการ “ใช้ของประทาน” ที่พระเจ้าประทานให้เพื่องานของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้คาดหวังให้ท่านทำสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ให้ “ของประทาน” นั้น ๆ มาหรือไม่ได้เตรียมท่านให้พร้อมเพื่อจะทำสิ่งนั้น ผมขอพูดให้ตรงจุดว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับศิษยาภิบาลที่จะต้องรับการถูกเติมให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะการที่ใครคนใดคนหนึ่งพยายามรับใช้พระเจ้าโดยไม่รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือ การกระทำที่จะนำไปสู่ความล้มเหลว ด้วยเหตุที่พระเยซูทรงบัพติศมาเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเราจะได้รับของประทานและมีฤทธิ์เดชในการทำงานเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยกระทำ (ยอห์น 14, กิจการ 1-2)
อย่างไรก็ตามการได้รับของประทานหรือความสามารถพิเศษจากพระเจ้าเท่านั้นยังไม่พอ เราจะต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ด้วย ดั่งอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ (มัทธิว25:14-30) ทาสทุกคนได้รับเงินจำนวนไม่เท่ากัน เมื่อนายกลับมาเขาไม่ได้ตัดสินการกระทำของทาสจากที่คนอื่นมี แต่จากจำนวนที่เรามี
ดังนั้นในฐานะที่ท่านเป็นศิษยาภิบาลอย่าเปรียบเทียบคริสตจักรและตัวเองกับคริสตจักรหรือผู้รับใช้คนอื่น ๆ คริสตจักรอื่นอาจมีสมาชิกมากกว่า มีเงินมากกว่า มีโบสถ์ใหญ่กว่า และมีชื่อเสียงกว่า โปรดอย่าลืมว่าพระเยซูคริสต์ผู้เป็นจอมเจ้านายแห่งการเก็บเกี่ยว พระองค์จะไม่ทรงพิพากษาท่านจากสิ่งที่คนอื่นมี ความสำเร็จของท่านในสายพระเนตรของพระเจ้าถูกกำหนดจากสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ท่าน ผมขอกล่าวกับท่านว่าขณะที่ศิษยาภิบาลคริสตจักรเล็ก ๆ ในชนบทอาจรู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับศิษยาภิบาลคริสตจักรใหญ่ ๆในกรุงเทพ ฯ แต่ผมเชื่อว่าเขาเหล่านั้นสามารถทำบางสิ่งที่ศิษยาภิบาลในคริสตจักรใหญ่ ๆ ทำไม่ได้ เราแต่ละคนมีของประทานและไปอยู่ในที่ ๆ นายแห่งการเก็บเกี่ยวต้องการให้เราทำงาน ถ้าเราทำอย่างสุดความสามารถก็ถือว่าเราเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสายพระเนตรของพระเจ้า
ผมปรารถนาจะให้ท่านรู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์และช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จ แต่ท่านต้องมองดูความสำเร็จเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงมอง พี่น้องที่รัก ถ้าท่านปรารถนาจะพบกับความสำเร็จอย่างแท้จริงในการปรนนิบัติรับใช้องคพระเยซูคริสตเจ้าแล้วละก็ ขอให้ท่านชำระจิตใจและรับใช้พระองค์ในแต่ละวันด้วยการอธิษฐานเลี้ยงจิตวิญญาณจิตของท่านด้วยพระวจนะและเทศนาสั่งสอนด้วยความกระหาย ฉวยโอกาสประกาศกับผู้ที่ไม่เชื่อ ใช้ของประทานที่พระเจ้าประทานให้ แล้วท่านจะเป็นศิษยาภิบาลที่พบกับความสำเร็จ ท่านจะพบกับความชื่นชมยินดีเมื่อเวลานั้นมาถึง ที่พระเยซูจะตรัสกับท่านว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ”
บทความโดย อจ. แดนนี่ นอทเล่ย์
วันที่ 02/08/2008