1 ทิโมธี 1:5 ,19 “แต่จุดประสงค์ในการกำชับนั้นก็คือ ให้มีความรักที่เกิดจากใจบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ ”
” จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอัปปาง “
1. จิตสำนึก คืออะไร
โรม 2 :14 – 15 พระเจ้าทรงประทานจิตสำนึกผิดชอบไว้ในเราแต่ละคน สิ่งนี้บอกเราว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกหรือผิด ถ้าสังเกตุ จะเห็นว่าจิตสำนึกทำงานอยู่ในเราแต่ละคน แม้เราอาจจะไม่รู้ธรรมบัญญัติ
ตัวอย่าง แม้ไม่เคยมีใครสอนเราว่า ลอกข้อสอบ บาป แต่จิตสำนึกก็มักจะแย้งเวลาเราลอดข้อสอบ มันจะฟ้องเราว่า ไม่ดีนะ ไม่ถูกต้อง เอาเปรียบคนอื่น ไม่ซื่อตรง ฯลฯ ตรงข้ามถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องเช่น เป็นคนเดียวในห้องที่ไม่ยอมลอกข้อสอบ จิตสำนึกจะกระซิบบอกเราเงียบ ๆ ว่า “ถูกแล้ว ดีแล้ว”
ในพระคัมภีร์อธิบายว่า “หลักความประพฤติที่เป็นเหตุที่เป็นไปตามธรรมบัญตินั้น มีจารึกอยู่ในจิตใจเรา (15) สนับสนุน กล่าวโทษเราแล้วแต่เราเลือกกระทำ
2. จิตสำนึกเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อเราบังเกิดใหม่
ก่อนเราเข้ามารู้จักพระเจ้า เราได้เคยประพฤติฝืนจิตสำนึก (จิตวินิจฉัยผิดชอบ) บ่อย ๆ เป็นเหตุให้จิตสำนึกของเราเงียบเสียงลง ราวกับไม่เสียงมาตักเตือนเราอีก
ตัวอย่าง คนที่เคยลักโขมยเป็นประจำ ต่อมาเฉยเมยไม่รู้สึกฟ้องร้องอะไร อีกประการหนึ่ง บางครั้งเราหาเหตุมาแก้ตัวให้แก่ตนเอง โดยอาสัยปรัชญาบ้าง เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ บ้าง เพื่อทำผิดต่อไปเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม จิตวินิจฉัยผิดชอบที่พระเจ้าประทานไว้ในเรายังอยู่ และยังทำงานอยู่เสมอ เมื่อเราเข้ามารับเชื่อ การบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จิตสำนึกเริ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เที่ยงตรง แม่นยำยิ่งขึ้น
( 1ยน.2: 27 )”และฝ่ายท่านทั้งหลาย การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้น ได้สอนให้ท่านได้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง และไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นสอนท่านทั้งหลายแล้วอย่างใด ท่านจงตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์ฉันนั้น ” พระวิญญาณตรัสกับจิตสำนึกของเรา ทำให้เรารู้สึกสำนึกในความความผิด” (ยน. 16: 8 )
ตัวอย่าง ชีวิตก่อนเชื่อพระเจ้า เราอาจทำผิดบาปมากมาย แต่ต่อมาเชื่อพระเจ้า เมื่อทำผิดก็จะรู้สึกว่าจิตใจฟ้องอย่างมาก แสดงว่าพระวิญญาณทรงทำงานผ่านจิตสำนึกของเรา เราต้องเชื่อฟัง
3. เราต้องเรียนรู้ที่จะรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ สอดคล้องกับจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้เสมอ ( 1 ทธ.1: 5 , 19 )
3.1 นั่นคือ เมื่อพระวิญญาณทรงตรัสเตือนเราในเรื่องใดก็ตามผ่านจิตสำนึก เราควรเชื่อฟัง (ยากอบ 1: 22 )
3.2 ถ้าเราได้ทำผิดชอบบาปหลงไปเมื่อใด อย่าได้ปล่อยไว้ทำให้ยืดเยื้อง ควรฟังจิตสำนึก สารภาพ กลับใจ ถ่อมใจเข้ามาหาพระเจ้า เริ่มต้นใหม่กับพระองค์อย่างจริงจัง (1 ยน.1: 9 ) การปล่อยไว้ทำให้จิตสำนึกของเราแข็งกระด้างขึ้น ต่อไปเมื่อทำผิดอีก เสียงจะเงียบลง