โฆษณาบ้านเดี่ยวสุดหรูจากป้ายบิลบอร์ดบนทางด่วนที่ผมพึ่งจะขับรถผ่านไป บรรยายถึงความสบาย เลิศหรูมีระดับ พร้อมคำโฆษณาชี้ชวนให้จินตนาการเห็นภาพบ้านอันแสนอบอุ่น อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สุขสงบ ในราคาไม่มากเท่าไหร่แค่ 12 ล้านบาทเท่านั้น ผมขำอยู่ในใจ อย่าว่าแต่ 12 ล้านเลย บ้าน 2 ล้านทุกวันนี้ผ่อนอยู่ไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่ ขณะที่ผมยังขำตัวเอง ในหูผมก็ได้ยินสียงเครื่องยนต์ดังคำรามมาจากด้านหลัง รถเจ้าของเสียงคันดังกล่าวเร่งเครื่องแซงรถผมไป ความเร็วของมันยิ่งกว่าฟงอวิ๋นขี่พายุทะลุฟ้าเสียอีก ลัมบูกินี่สีเหลืองสดมันวาวเป็นระยับขับผ่านไปด้วยความเร็วราวกับถนนทั้งเส้นเป็นสนามแข่งรถฟอร์มูลาวัน แหม๋..ท่าทางคนขับคงภูมิใจน่าดู ในใจก็นึกไป สายตาก็เหลือบมองเกจ์วัดความร้อนของรถตัวเอง โตโยต้าตองหนึ่งคันนี้ตอนแรกผมตั้งชื่อมันว่าเจ้าแก่เนื่องจากมันมีอายุได้ 17 ปีแล้ว ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงเป็นไม้ใกล้ฝั่ง แต่นี่มันเป็นรถเลยทำให้นึกถึงม้าของปิติที่ชื่อเจ้าแก่ (ถ้าใครยังทันในหนังสือเรียนวิชาภาษาไทยคงจำกันได้) ตอนหลังผมไปทำสีให้มันใหม่เลยตั้งชื่อว่าเจ้าจีบัน เจ้าจีบันช่วงนี้มีอาการร้อนใน คือน้ำชอบหายจากหม้อน้ำอยู่บ่อยๆเลยต้องคอยเติมน้ำให้มันอยู่เรื่อยๆ เห็นสภาพเจ้าจีบันแล้วในใจก็อธิษฐานกับพระเจ้า อย่าพึ่งร้อนตอนนี้เลยนะลูกพ่อ เดี๋ยวถึงแล้วค่อยเติมน้ำให้นะลูก ช่างแตกต่างจากลัมบูกินีคันเมื่อตะกี้เสียนี่กะไร
ผมขับรถไปสักพักก็ถึงที่หมายปลายทางคือบ้านของคุณแม่นั่นเอง วันนี้ผมนัดทานข้าวกับคุณแม่เพราะตั้งใจว่าอยากจะใช้เวลากับท่านทุกๆวันเสาร์ ระหว่างทานข้าวก็คุยกันไปเรื่อยๆ คุณแม่ก็โพล่งออกมาว่า “นี่ๆรู้มั้ยเจ่าก๊ง(ภาษาจีนกวางไส เจ่าก๊ง แปลว่าน้า) เมียแกถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่1 ได้เงินตั้งสามสิบล้าน” แม่เล่าด้วยความตื่นเต้นอย่างกับถูกรางวัลซะเอง ผมก็ฟังแกพูดไปเรื่อยๆจนท่านเปลี่ยนเรื่องใหม่ “วันก่อนแม่พึ่งไปงานศพอีกคนนึงบ้านแกนี่นะ โอ้โหใหญ่มากสร้างตั้งสองร้อยกว่าล้าน รวยมากๆเลย แต่สร้างเสร็จยังไม่ทันได้อยู่ดันตายก่อนซะงั้น” เออนั่นสิ(เสียงในใจของผม) ผมได้ทีเลยรีบแทรกไปว่า “นี่แหละน้า…. คนรวยพอตายไปก็เอาอะไรไปก็ไม่ได้ พระคัมภีร์บอกคนรวยจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ยากยิ่งกว่าอูฐรอดรูเข็มซะอีก” แม่ผมแกฟังผมพูดเรื่องพระเจ้าสักพักก็รีบตัดบท ทำให้บทสนทนานี้จบลงแบบไม่มีใครแพ้ใครชนะกรรมการให้เสมอกันไปทั้งสองฝ่าย
รุ่งเช้าวันอาทิตย์ผมและภรรยาเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรเหมือนทุกๆอาทิตย์ เหตุการณ์เมื่อวานนี้ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งเมื่อได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่งในคริสตจักร อาจารย์ท่านนี้ได้ถวายตัวให้กับพระเจ้า ท่านไม่มีบ้านเป็นของตัวเองแต่บ้านที่ท่านอยู่เป็นของพระเจ้า และเป็นของสมาชิกในคริสตจักรทุกคน พูดง่ายๆก็คือ “ท่านนอนที่โบสถ์” รถที่อาจารย์ใช้ก็อย่าได้พูดถึงเลยครับ จีบันผมดูดีขึ้นมาทันทีถ้าเทียบกับรถของอาจารย์ พูดแบบนี้จะหมายความว่าการมีชีวิตเป็นผู้รับใช้พระเจ้านั้นน่ารันทดกระนั้นหรือ ไม่เลยครับ ไม่ใช่เลย ตรงกันข้ามต่างหาก เพราะอะไรน่ะหรือลองดูเหตุผลด้านล่างนี้นะครับ
พระเยซูคริสต์ได้เสด็จลงมาบนโลกใบนี้ เกิดบนรางหญ้าในคอกเลี้ยงสัตว์ เป็นลูกของช่างไม้ พระองค์ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย เมื่อพระองค์อายุได้สามสิบปีทรงสละบ้านที่ตัวเองอยู่ ออกเดินทางเพื่อประกาศเรื่องของพระเจ้าให้ทุกคนกลับใจจากบาปทรงทิ้งทุกสิ่งที่มี น่าแปลกที่พระองค์ไม่ได้เป็นเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกแต่มีผู้คนทั่วโลกรู้จักพระเยซูมากกว่าเศรษฐีอันดับหนึ่ง ถามว่าพระเยซูไม่มีฐานะร่ำรวยเพราะพระองค์จนมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่า เลยทำให้พระเยซูไม่มีอะไรเลย จริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าพระองค์จะเลือกแสวงหาเงินทองความร่ำรวยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ให้เรามาพิจารณาข้อพระคำกัน
ลก.10:22 “พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”
ยน.3:35 พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ยน.16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรานั้นมาแจ้งแก่พวกท่าน”
มธ.4:23-25 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาบรรดาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย พวกเขาจึงพาคนทั้งหลายที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ พวกที่เจ็บปวดทรมาน พวกที่ถูกผีเข้า พวกที่เป็นลมบ้าหมูและเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย และมีมหาชนติดตามพระองค์ซึ่งมาจากแคว้นกาลิลี แคว้นทศบุรี กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก
จากข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวมาเห็นได้ว่าพระเยซูเป็นเจ้าของสรรพสิ่งและพระองค์ทำการอัศจรรย์เพราะทรงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่แค่ศาสดาของศาสนาตามที่หลายคนเข้าใจ กลับมาตรงที่ว่าพระเยซูไม่ร่ำรวยเพราะพระองค์จนแต่เกิดคงไม่ใช่ เพราะคิดง่ายๆถ้าพระองค์คิดค่ารักษาเหมือนหมอทั่วๆไป ป่านนี้พระองค์คงร่ำรวยมากๆ พระองค์รักษาได้ทุกโรคเลย ถ้าเป็นสมัยนี้คงมีเครื่องบินส่วนตัวไปแล้ว แต่ชีวิตของพระองค์เป็นอย่างไรเรามาดูกันต่อ
มัทธิว 8:20 “พระเยซูจึงตรัสว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” หรือจะกล่าวว่าที่จะซุกหัวนอนยังไม่มีเลย ชีวิตพระองค์เป็นแบบนั้นจริงๆ อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ พระเจ้าต้องน่าจะดูดีไม่ใช่หรอ ต้องดูน่าจะมีบารมีนี่นา แต่นี่ดูเหมือนเป็นพระเจ้าของคนจนเลยอ่ะ ก็คงต้องถามกลับไปว่า มันเป็นความคิดของเราเองหรือเปล่าที่คิดแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากที่คนเราคิดว่ามีบ้าน 12 ล้านก็ดีนะดูมีความสุขดี มีลัมบูกินี่ก็เท่นะใครๆก็มอง จอดที่ไหนก็มีแต่คนถ่ายรูป สาวๆก็อยากนั่ง มีเงินเยอะๆดีนะไปไหนก็มีคนนับหน้าถือตาเสียงดังได้ใครๆก็เกรงใจ มีเมียหลายคนก็ไม่มีใครว่า ภรรยาคนที่สองสามสี่ที่มาแต่งงานด้วยก็ไม่ถือ ไม่ว่าเขาจะมีเมียมาแล้วกี่คนก็ตาม “คุณเคยเห็นคนจนมีเมียเยอะแล้วสังคมชื่นชมไหม” มีแต่จะว่า จะรับประทานยังไม่มีเลยยังจะมีเมียมาก แล้วถ้าคนที่มีเมียมากๆมีเงินล้นฟ้าล่ะ เห็นแต่จะออกข่าวครึกโครม ไม่มีใครว่าเลย มีแต่อยากจะรู้ว่าสินสอดเท่าไหร่ กลายเป็นว่าเงินได้ชนะความถูกต้องไปแล้ว พระเยซูมองเรื่องนี้อย่างไร
มธ.6:19-20 “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
มก.10:17-25 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก” พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’” คนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา” พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา” เมื่อเขาได้ยินคำนั้นก็เสียใจ แล้วออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก พระเยซูจึงทอดพระเนตรรอบๆแล้วตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา”เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยคำตรัสของพระองค์ และพระเยซูตรัสแก่เขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย คนที่วางใจในทรัพย์สมบัติจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
1 ยอห์น 2:15-17“อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์”
ผมเข้าใจชีวิตของผู้รับใช้ที่ยอมถวายตัวติดตามพระองค์ไปมากขึ้น ผ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เรื่องราวของพระเจ้าเรื่องราวของพระเยซูสวนกระแสกับโลกที่หล่อหลอมให้คนเกิดมาเพื่อเรียนให้เก่งๆ จะได้มีงานดีๆ มีงานดีๆจะได้มีเงินเยอะๆ มีเงินเยอะๆจะได้มีบ้านใหญ่ๆ มีรถหรูๆ มีบ้านใหญ่ๆรถหรูๆ จะได้มีภรรยาสวยๆ ไม่มีเงินเห็นคนอื่นมีก็อยากมี กู้แบงค์ผ่อนเข้าไปทั้งบ้านทั้งรถ บัตรเครดิตเต็มแล้วเต็มอีก เหมือนศิษยาภิบาลของคริสตจักรท่านเคยเทศนาบอกว่า สมัยนี้คนเราตอนหนุ่มก็เอาเงินให้แบงค์ตอนแก่ก็เอาเงินให้โรงพยาบาล ชีวิตก็วนอยู่เท่านี้ หาสันติสุขแท้จากสิ่งของที่ตามองเห็น แต่บางครั้งมันกลับทำให่เราจมอยู่ในความทุกข์ แต่พระเยซูให้แสวงหาสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่มีอยู่จริงคือบนสวรรค์ (หลายคนอาจจะเถียงว่าไม่มีนรกสวรรค์)
แต่ถ้าพูดแบบนี้แปลว่าการมีเงินผิดหรือ พระเจ้าไม่ได้บอกว่าการมีเงินผิดแต่การรักเงินต่างหากที่ผิด 1ทธ.6:10 ด้วยว่าการรักเงินนั้นเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งสิ้น ขณะที่บางคนโลภสิ่งเหล่านี้จึงได้หลงไปจากความเชื่อนั้น และทิ่มแทงตัวของเขาเองให้ทะลุด้วยความทุกข์ใจเป็นอันมาก
พระเจ้าทรงรู้ว่าเราต้องการอะไรพระเจ้าจะให้เรามีอย่างเพียงพอ และมีมากถ้าเรามีท่าทีต่อเงินที่ถูกต้อง มธ.6:33 “แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้” พระองค์ก็ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่อย่างรันทดแต่พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรคือสันติสุขแท้ในใจต่างหาก พระเจ้าจะอวยพรให้ตามขนาดที่พอดีสำหรับทุกๆคนเมื่อเราแสวงหาพระเจ้าก่อน
ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆที่ทำให้เข้าใจการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ผ่านมาผมอาจจะละเลยมัวแต่แสวงหาสิ่งของบนโลกจนลืมพระเจ้าไป แต่ผมขอกลับใจใหม่ที่จะเริ่มแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน และสะสมทรัพย์บนสวรรค์แทนโลกใบนี้ และตั้งใจว่าวันนึงผมจะเป็นคนที่พระเจ้าใช้การได้อย่างดี
“ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ให้ลูกเป็นคนนั้นเถิดที่จะใกล้ชิดพระองค์ตลอดเวลาโดยไม่มีสิ่งของจากโลกเป็นเครื่องฉุดรั้ง ขอให้ลูกไม่ตกเป็นของโลก ขอให้ใจของลูกอยู่บนนั้นที่พระองค์ทรงประทับ อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน”
กาเบรียล วันที่ 14/08/2013