โรม 13: 1-7

คนไทยหลายคนตีความหมาย เรื่องการเป็นไท ผิดว่า หมายถึง “เราไม่ต้องขึ้นกับใคร ไม่ต้องให้ใครมาออกคำสั่ง หรือไม่ต้องฟังใครทั้งสิ้น” ซึ่งมิได้เป็นไปตามความหมายของพระคัมภีร์ เมื่อก้าวมาเป็นคริสเตียน บางครั้งเรายังเข้าใจว่า บุคคลเดียวเท่านั้นที่เราจะยอมอ่อนน้อมให้คือพระเจ้า นอกนั้นเราไม่ยอมฟัง หรือถ้าจะยอมฟังก็เฉพาะเมื่อเราอยากจะฟังเท่านั้น ซึ่งนำผลเสียหายมาสู่ตัวเราเอง ครอบครัว คริสตจักร และสังคมอย่างมาก

1. พระเจ้าทรงสถาปนา อำนาจหลายอย่างไว้เพื่อปกครองเรา (โรม 13 :1)
ในโลก และสังคมที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ พระเจ้าได้สถาปนาอำนาจไว้กับบุคคลจำนวนไม่น้อยไว้เพื่อครอบครองดูแลชีวิตเรา ให้เรามีความสุขอยู่ในสังคม
ตัวอย่างเช่น
สามี ปกครองดูแล ภรรยา (เอเฟซัส 5 : 22-24 )
พ่อแม่ ” ลูกา ( ” 6 : 1-4 )
ศิษยาภิบาล ” สมาชิก ( 1 เธซาโลนิกา 5 :12- 13 )
นายจ้าง ” ลูกจ้าง (เอเฟซัส 6 : 5-6 )
รัฐบาล ” ประชาชน (ทิตัส 3 :1 )
การยอมฟังบุคคลเหล่านี้ ในอำนาจหน้าที่ที่เขาปกครอง ก็เหมือนกับการยอมฟังพระเจ้าโดยตรง การขัดขืนบุคคลเหล่านี้ในอำนาจหน้าที่ที่เขาปกครองก็เหมือนกับการขัดขื่นพระเจ้าโดยตรง

ทำไมเราจึงสมควรยอมฟังผู้นำ
แท้จริงการยอมฟังของเราทำให้เกิดผลดีแก่ตัวเราเอง แก่คริสตจักร ต่อครอบครัว และสังคม เหตุที่เราควรยอมฟังผู้นำก็เพราะ

2.1 เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในการปกครองมีความสุข
(โรม 13 :4) ” ผู้ครอบครองนั้น เป็นผู้รับใช้พระเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ท่าน” พระเจ้าทรงวางตำแหน่งหัวหน้า สถาบันต่าง ๆ ของสังคมไว้เพื่อปกครองดูแล เอาใจใส่คนภายใต้สถาบันสังคมของตน เพื่อช่วยให้คนในสังคมนั้นได้รับความสงบสุข ความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบตกอยู่บนบ่าของผู้นำ ความรู้สึกเช่นนี้มาจากพระเจ้า (สุภาษิต 21: 20 ,16: 10 ,13 )
บุตรที่เชื่อฟังโอวาท จะมีอายุยืน ( สุภาษิต 4: 10 )
บุตรที่ยอมฟัง ได้รับความปลอดภัย ( เอเฟซัส 6: 3 )

2.2 เพื่อให้เราถ่อมใจลงไม่เย่อหยิ่ง (1เปโตร 5: 5 )
ถ้าเราทำอะไรได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใด เราก็จะมีใจแข็งกระด้างโดยง่าย ไม่ช้าเราก็จะคิดว่าเราดีกว่าใคร ๆ ตัวอย่าง เปาโลต้องพึ่งอนาเนีย ( กิจการ 9: 6) ,นาอามาน ต้องพึ่งเอลีชา ( 2 กษต. 5: 10 -14 )
แท้ที่จริงแล้ว การถ่อมใจยอมฟังบุคคลที่พระเจ้าทรงวางไว้เหนือเราเป็นพระพร และเกียรติมาสู่เราเอง (สุภาษิต 15: 33 ,18 :12 )
บางครั้งพระเจ้าทรงนำให้ผู้อยู่เหนือเราเพื่อให้เราเรียนรู้ความถถ่อมใจอันนำเราไปสู่เกียรติและพระพร

2.3 เพื่อช่วยให้พระกายพระคริสต์ทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ (เอเฟซัส 4 :11 – 12 ,16 )
คริสตจักรถูกเปรียบกับร่างกายของคนเรา การยอมฟังกันและกัน เท่ากับเราจะประสานกัน และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนอวัยวะของร่างกาย

ตัวอย่าง มือยอมต่อแขน ทำงานร่วมกันในการยกของ
ผู้ปรนนิบัติ ยอมต่อผู้บริหารเพื่อทำหน้าที่เป็นปฎิคม
ผู้หนุนใจ ยอมต่อผู้นำ เพื่อช่วยสมาชิกที่กำลังท้อถอย หมดกำลังใจ โดยยินดี ก้าวขึ้นไปหนุนใจ
ทหารในกองทัพ ต้องยอมฟังผู้นำ

2.4 เพื่อช่วยให้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง (สุภาษิต 4: 1 ,29 :15 )
พระเจ้ามักตรัสผ่านผู้นำ หลายครั้งที่เราไม่รู้ว่าจะเลือกเดินทางไหน เพื่อเราปรึกษา และยอมฟังผู้นำทำให้ตาของเราสว่างขึ้น (เอเฟซัส 5: 22-23 )สามีถูกเปรียบกับการเป็นศีรษะของภรรยา คือการเป็นผู้นำ

2.5 เพื่อช่วยปกป้องเราจากอันตราย (ฮีบบรู 13: 17 )

ผู้ปกครอง คือ ผู้ดูแลรักษาจิตวิญญาณของลูกแกะ (เอเฟซัส 5 :28 ,33 ) สามีควรรักภรรยาเหมือนรักกายตนเอง (29) เลี้ยงดูถนุถนอม (มัทธิว 12: 29) ” ใครจะเข้าไปในเรือของคนที่มีกำลังมาก และปล้อนเอาทรัพย์ของเราได้อย่างไร เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนั้นได้”
มารสามารถโจมตี ภรรยาที่ไม่ยอมฟังสามี ,บุตรที่ขัดขืนโอวาทของพ่อแม่ ,ประชาชนที่เป็นกบฎต่อรัฐบาล,ลูกจ้างที่สไตรท์ต่อนายจ้าง ,สมาชิกที่ไม่ยอมฟัง หน.เซล ,หน.หน่วย ,ศบ. เพราะผู้นำเหล่านี้เป็นเกราะพิทักษ์เรา

2.6 พระเจ้าโปรดปรานผู้ที่ยอมฟัง (โคโลสี 3 :18-19 )
พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง (ฟิลิปปี 2: 6-9 )

3. เราจะมีจิตใจยอมฟังอย่างไร
(อฟ.6 :5-7 ) การยอมังต้องเกิดขึ้นจากจิตใจภายใน
การเชื่อฟังภายนอกโดยภายในไม่ยอม ไม่เรียกว่า “ยอมฟัง”
การยอมฟังต้องด้วยจิตใจยิดี ไม่ฝืนใจ ไม่กบฏ
การยอมฟังเกิดจากจิตใจยอมรับบุคคลที่พระเยซูคริสต์แต่งตั้งไว้

 บทความโดย  ศจ. สมเกียรติ กิตติพงศ์