เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กชายเคลลี่ที่ยากจน เขาต้องหาเงินไปโรงเรียนเอง ด้วยการนำสิ่งของไปขายตามบ้านที่อยู่ในเมืองใกล้เคียง

วันหนึ่งเขาพบว่าเมื่อจ่ายค่ารถ และค่าสินค้าแล้ว เขามีเงินในกระเป๋าเหลือเพีง 10 เซ็นต์ เท่านั้น ขณะนั้นเขากำลังหิวมาก แต่เงินสดที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอจะซื้ออาหารแม้แต่มื้อเดียว ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปขออาหารจากบ้านที่กำลังเดินไปถึง แต่เมื่อกดกริ่งแล้ว หญิงสาวเจ้าของบ้ามาเปิดประตู เด็กชายเคลลี่กลับเกิดความละอายที่จะขออาหารเหมือนกับขอทานที่ไม่รู้จักทำมาหากิน เขาจึงขอเพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวเท่านั้น แต่เจ้าของบ้านสาวสังเกตเห็นท่าทางของเด็กชายเคลลี่ว่ากำลังหิว เธอจึงนำนมสดใส่แก้วมาให้ เด็กชายเคลลี่ดื่มอย่างกระหายจนหมดแก้ว แล้วถามว่า ผมต้องจ่ายค่านมถ้วยนี้ให้คุณเท่าไรครับ เจ้าของบ้านตอบว่า “ ไม่ต้องจ่ายหรอก แม่ของฉันสอนไม่ให้รับสิ่งตอบแทนจากการให้ไมตรี เคลลี่ซาบซึ้งใจมากและตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ขอขอบคุณอย่างยิ่ง จากหัวใจของผมก็แล้วกันนะครับ”ขณะที่เด็กชายเคลลี่ได้เดินออกจากบ้านหลังนั้น เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่ามีกำลังแข็งแรงขึ้นจากนมสดแก้วโตเท่านั้น แต่เขาได้มีความเข้าใจในเรื่องน้ำใจไมตรีมากขึ้นด้วย

อีก 30 ปีต่อมา มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วยหนักด้วยโรคหัวใจซึ่งแพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้จึงส่งไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านหัวใจเป็นผู้ทำการรักษา เมื่อได้อ่านประวัติผู้ป่วยแล้วแพทย์ผู้เชียวชาญท่านนั้นสะดุดใจกับชื่อหมู่บ้านของผู้ป่วยคนนั้นจึงตั้งใจรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจอย่างพิเศษ โดยใช้อุปกรณ์ทันสมัยที่สุด และยาราคาแพงที่สุดจนผู้ป่วยหายเป็นปกติพร้อมจะกลับบ้านได้ ผู้ป่วยเกรงว่าค่ารักษาพยาบาลคงจะมีราคาแพงหลายหมื่นดอลลาร์ ซึ่งเธอเข้าใจว่าคงต้องทำงานทั้งชีวิตกว่าที่เธอจะหาเงินค่ารักษาพยาบาลมาได้ เพราะเธอไม่มีประกันสุขภาพและไม่สามารถเบิกได้จากที่ไหน แต่แพทย์ผู้เชียวชาญคนนั้นได้บอกเจ้าหน้าที่บัญชีให้นำใบเสร็จไปให้เขา
แล้วหมอก็ใช้ปากกาเขียนข้อความ 2 บรรทัดแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่บอกให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย
ข้อความที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเขียนในใบเรียกเก็บเงินนั้นมีว่า

“จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้วยนมหนึ่งแก้ว”
……….ลงนาม นายแพทย์โฮเวอร์ด เคลลี่

บทความของคณะทำงานกลุ่มน้ำใจไมตรี ประเทศสิงคโปร์จดหมายของ นายแพทย์ โฮเวอร์ค เคลลี่ 05/11/2004