พญามารมีความเป็นมาอย่างไร

พญามารมีตัวตนจริงหรือ มันมีความป็นมาอย่างไร มนุษย์สมัยนี้ได้พยายามปฎิเสธว่า พญามารไม่มีตัวตนจริง เขาเชื่อว่าพญามารเป็นแต่สิ่งสมมติ เพื่อใช้แทนอำนาจชั่วที่กำลังคุกคามโลก ความเชื่อเช่นนี้เป็นที่พอใจของพญามารอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เราขาดความระมัดระวัง และตกเป็นเหยื่อของพญามารได้โดยง่าย
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ชี้ให้เราเห็นว่า พญามารนั้นมีตัวตนจริง ๆ เห็นได้จากการที่มันมีชื่อในลักษณะชื่อของบุคคล (ยน. 8: 44 , อฟ.6 :12 ) มีการกระทำของบุคคล (1 ยน. 3 : 8 ,วว. 12: 9) มีการวางแผนต่างๆ ในลักษณะของบุคคล (ยน.13: 27 เปรียบ ลก. 22: 3 , 2 คธ. 2 : 11 ,วว. 12: 9 ) มีอารมณ์เช่นเดียวกับบุคคล (วว. 12 : 12) เป็นต้น

ความเป็นมาของพญามาร
ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้นพญามารจึงเกิดขึ้นจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างพญามารตามลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ทรงสร้างขึ้นในฐานะทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง (อศค. 28:12-15 )ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระเจ้ากล่าวถึงพญามาร โดยใช้ตำแหน่งของกษัตริย์แห่งเมืองไทระว่า “เจ้าเป็นดาราแห่งความสมบูร์แบบ เต็มด้วยสติปัญญา และมีความงามอย่างพร้อมสรรพ เจ้าอยู่ในเขตพระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือ ทับทิม บุษราน้ำอ่อน เพชร เพทาย โกเมน และมณีโชติ ไพฑรูย์ มรกต และเพริล เพชรพลอยเหล่านี้ฝังในทองคำ และลวดลายสลักก็เป็นทองคำ ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกสร้างมาจนพบความบาปชั่วในตัวเจ้า ”
ก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกนี้จักรวาลอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ได้ถูกแบ่งออกเป็นเขต ๆ แต่ละเขตมีทูตสวรรค์ของพระเจ้าครอบครองอยู่ และทูตสวรรค์เหล่านี้ บางก็เป็น”เทพอาณาจักร” บางที่ก็เป็น”เทพผู้ครอง” หรือ ” ศักดิเทพ” หรือ ” อิทธิเทพ ” บางองค์ก็นั่งบนเทวบัลลังก์ และทูตสวรรค์เหล่านั้นต่างขึ้นตรงต่อพระเจ้า คส.1: 16 ,อฟ. 1 :20 นั่นแสดงว่าทูตสวรรค์นั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ และแต่ละชั้นมีความรับผิดชอบ และอำนาจต่างกัน

การล้มลงของพญามาร

พญามารเป็นทูตสวรรค์ชั้นผู้ใหญ่องค์หนึ่ง มีชื่อว่า ” ลูซีเฟอร์ ” ซึ่งมีความหมายว่า ” ผู้ถือคันประทีป ” หรือดาวประจำวัน (อสย.14: 12 ) นั่นคือ ทูตแห่งความสว่างนั่นเองตำแหน่งผู้ถือคันประทีป ก็เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแม้เมื่อมันล้มลงแล้ว ท่านยูดายังกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของเขาว่า ” ฝ่ายอัครทูตาธิบดีมีคาเอล ครั้งเมื่อท่านเถียงกับมารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจกล่าวร้ายต่อมารเลย เป็นแต่เพียงกล่าวว่าให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขนาบเจ้าเถิด (ยด.9 )

เป็นที่น่าเสียดายที่เทวทูตผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ ไม่มีความพอใจในฐานะของตน ในพระธรรมอสค. 24: 17 ได้กล่าวถึงกรล้มลงของมารว่า ” จิตใจของเจ้าผยองขึ้น เพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำให้สติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลง เพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า ”
พระธรรมของพระเจ้ากล่าวว่า เมื่อความเย่อหยิ่งมาถึง ความหยามน้ำหน้าและจิตใจที่ยะโสนำหน้าการล้มลง (สภษ.16: 18 ) ความจองหองนี่เองเป็นเหตุให้มารถูกทำลายลง และถูกหยามน้ำหน้า ท่านเปาโลจึงได้ออกวินัยแก่
คริสตจักรว่า “อย่าให้คนที่กลับใจใหม่ ๆ เป็นผู้ปกครองดูแล เกรงว่า เขาอาจจะยะโส แล้วก็จะถูกปรับโทษเหมือนอย่างมารนั้น” 1 ทธ. 1: 6

ใน อสย. 14: 12-14 ได้กล่าวพาดพิงถึงพญามารว่า “โอ ดาวประจำวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าแล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น ข้าจะนั่งลงในสถานเทพชุมนุม ณ อุดรไกล ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด”
จากข้อความเหล่านี้จะเห็นว่าเพราะตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ที่มี ซึ่งอาจจะเป็นรองจากพระเจ้าเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดความทะเยอทะยานยิ่งขึ้นในอันที่จะมีฐานะที่เท่าเทียมกับพระเจ้า
ทันทีที่พญามารประกาศเจตนาของมัน จักรวาลก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายทันที ฝ่ายหนึ่งจงรักภักดีต่อพระเจ้า และฝ่ายหนึ่งเป็นปฎิปักษ์ต่อพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงขับไล่พญามารกับบริวารจำนวนหนึ่งให้ตกลงมาจากสวรรค์ มายังโลกนี้ พระเยซูเคยตรัสบอกกับสาวกของพระองค์ว่า “เราได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าเล็บ” ลก. 10: 18 เปรียบเทียบ วว .8 :10 , 9: 1 ส่วนอีกพวกหนึ่งก็ลงไปสู่ทุคติ ซึ่งปรากฏใน 2 ปต. 2: 4 ว่า ” เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักเขาลงไปสู่ทุคติ และได้ขังเขาไว้ในขุมนรกมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงวันพิพากษา (ยด. 6 )

เมื่อพญามารและพรรคพวกของมันถูขับลงมาจากสวรรค์แล้ว มันก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมของมันช่วงชิงตำแหน่งผู้ครองโลกมนุษย์ โดยล่อลวงอาดัมและเอวาให้อยู่ใต้อนุภาพของมัน 1 ยน. 5 19 และตั้งตัวเป็นเจ้าโลก ( ยน.12: 11 , 14 :30 , 16: 11 ) และจัดระบบของโลกนี้เพื่อต่อต้านกับพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงสั่งคนของพระองค์ว่า “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่เกิดจากโลก 1 ยน. 2 :15 ,16
นอกจากมันจะชิงตำแหน่งเจ้าโลกจากมนุษย์แล้ว มันยังยึดครองย่านอากาศ และตั้งตัวเป็นเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่เหนือคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อ อฟ. 2:2 และยังยึดตำแหน่งเป็น “เทพผู้ครองศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ” อฟ. 6: 12 และบริวารของมันก็เป็น “เหล่าวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ (อฟ.6 :12 )
ยิ่งกว่านั้นเมื่อเข้ามาในโลกนี้ยังได้ก่อศาสนาเทียมเท็จขึ้น และตัวมันเองได้ตั้งตัวเป็นพระของยุคนี้ เพื่อกีดกันมนุษย์ไม่ให้เห็นความจริงของข่าวประเสริฐ 2 คธ. 4: 4 งานด้านนี้ของมันได้ผลมากทีเดียว เพราะมันทำให้คนเป็นอันมากหลงทางไป อสย. 53 :6

ชื่อต่างๆของพญามาร

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้เรียกชื่อพญามารในฐานะที่แตกต่างกัน ไม่น้อยกว่า 18 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อก็มีความหมายแตกต่างกันไป

ชื่อแรกของมาร ” ลูซีเฟอร์ หรือดาวประจำวัน” อันเป็นฐานะเดิมของมันก่อนล้มลง ปรากฎใน อสย.14:12

ชื่อที่ 2 ” พญานาค หรือ งูดึกดำบรรพ์ ” วว.12: 4, 9 เข้าใจว่าเป็นชื่อทีได้มาจากครั้งไปล่อลวงนางเอวา ปฐก. 3: 1, 2 คร.11 : 1

ชื่อที่ 3 ” เจ้าโลก ” ยน. 16: 30 ,14: 10 ,16 :11 เข้าใจว่าได้รับชื่อนี้ เมื่อมันสามารถชิงตำแหน่งเป็น “เจ้าโลก ” ของมนุษย์ได้แล้ว

ชื่อที่ 4 ” ซาตาน ” 1 พศด.21: 1 ซึ่งมีความหมายว่า ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของความดี เข้าใจว่าชื่อนี้ได้รับเมื่อมันตั้งใจขัดขวางงานพระเจ้า

ชื่อที่ 5 ” พระของยุคนี้ ” ( 2 คร. 4: 4 )เข้าใจว่าท่านเปาโลเรียกมัน เมื่อมันใช้ศาสนาเป็นเครื่องขัดขวางข่าวประเสริฐของพระคริสต์

ชื่อที่ 6 ” เบเอลเซบูล ” (นายผี) เพราะมันเป็นนายผีร้ายทั้งปวงที่เบียดเบียนมวลมนุษย์

ชื่อที่ 7 ” เบลีอัล ” (ผู้ชั่วร้าย) 2 คร. 6 :15 เป็นชื่อที่แสดงถึงเอกลักษณะเฉพาะตัวของมาร

ชื่อที่ 8 ” อาบัดโดน ” (ภาษาฮีบรู) ” อปองลิโยน ” (กรีก) ซึ่งแปลว่า ” ผู้ทำลาย ” วว. 9:11 เพราะมันเป็นกบฏต่อพระเจ้าแล้ว มันก็บำเพ็ญเป็นผู้ทำลายมาโดยตลอด

ชื่อที่ 9 ” ผู้ทดลอง ” มธ. 4: 5 , 1 ธส. 3: 5 ,โยบ 1: 6 – 2 :7 จะเห็นได้ว่ามันรับหน้าที่เป็นผู้ทดลองคนของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว

ชื่อที่ 10 ” ผู้ฆ่าคน ” ยน. 8 :44 มันเป็นคนนำความตายมาสู่มนุษย์ “เป็นผู้มีอำนาจแห่งความตายมาสู่มนุษย์” ฮบ. 2 :14

ชื่อที่ 11 ” ผู้มุสา ” ยน. 8: 44 เพราะมันเองเป็นผู้มุสาแต่แรกแล้วทั้งยังชวนมนุษย์ให้เป็นผู้มุสาด้วย กจ.5: 3

ชื่อที่ 12 ” ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก ” วว.12: 1

ชื่อที่ 13 ” ผู้กล่าวโทษพี่น้องของเรา ” วว. 12: 10 ดู ศคย. 3 :1-3 ด้วยมันบำเพ็ญตนเป็นอัยการใหญ่ในการกล่าวฟ้องผู้เชื่อ แต่ทว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นบุคคลที่ไม่มีใครฟ้องได้ (รม. 8 :33 , 34 )ทั้งนี้เพราะผู้เชื่อมีทนายความที่จะเสนอว่าความแทนพวกเขา คือพระเยซูคริสต์ (ฮบ. 9 :25 ,1ยน.2; 1-2)และเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าในการพิพากษา (ยน. 5: 24 )

ชื่อที่ 14 ” เจ้าแห่งย่านอากาศ “อฟ. 2: 2 เพราะมันได้ครอบครองย่านอากาศไว้ในอำนาจของมัน(ดนอ.1:15 ,6,12, 13)

ชื่อที่ 15 ” เทพผู้ครอง ”

ชื่อที่ 16 ” ศักดิเทพ ”

ชื่อที่ 17 ” เทพผู้ครองในโมหะ ความมืดแห่งโลกนี้ ” อฟ. 6: 12

ชื่อที่ 18 ” พญามาร” หรือ ” มารร้าย ” 1 ยน.5:19,มธ. 13 :19

ชื่อเหล่านี้ล้วนมีความหมายอยู่ในชื่อนั้น ๆ อย่างสมบรูณ์ นอกจากนั้นมารยังถูกเรียกว่า “ศัตรู” เป็นบางครั้ง และบางครั้งพระคัมภีร์ก็เรียกมันว่า “มาร” เฉย ๆ ยด. 4: 7

อำนาจของพญามาร และลักษณะเฉพาะตัวของพญามาร

ท่านดาเนียลได้บันทึกให้เราเห็นถึง อำนาจของพญามาร และบริวารของมันว่า ข้าพเจ้าแหงนขึ้นมอง ดูเถิดมีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่านมีทองเมืองอุฟาสคาดเอาไว้ ร่างกายของท่านดังเพทาย และหน้าของท่านเหมือนฟ้าแลบ ตาของท่านก็เหมือนดังคบเพลิง แขนและเท้าเป็นเงางามเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงของท่านเหมือนเสียงมวลชน (ดนล. 10: 5 ,6) สังเกตุดูทูตสวรรค์องค์นี้ว่ามีศักดิ์ศรีสูงสักเพียงใดหนอในข้อ 12,13 ในบทเดียวกัน ทูตสวรรค์องค์นี้ได้กล่าวแก่ดาเนียลว่า ” ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะตั้งแต่วันแรก ที่ท่านได้ตั้งใจจะเข้าใจ และถ่อมลงต่อพระเจ้าของท่านนั้น พระเจ้าทรงฟังถ้อยคำของท่าน และข้าพเจ้ามาด้วยถ้อยคำของท่าน เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย (หมายถึงพญามาร หรือ บริวารของมัน ) ได้ขัดขวางข้าพเข้าไว้ถึง 21 วัน แต่มีคาเอลเจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่นั่น ให้อยู่กับเจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย ” จากข้อความนี้ชี้ให้เห็นว่าพญามารและพรรคพวกของมันมีอำนาจมากขนาดไหนในโลกนี้

พระเจ้าตรัสกับเปาโลว่า “เพื่อท่านจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และอำนาจของซาตานถึงพระเจ้า” กจ. 26: 18 ในจดหมายของท่านยอห์น ท่านเขียนว่า “เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย 1 ยน. 5; 19 โยบ 1:9 – 12 “แล้วซาตานทูลพระเจ้าว่า โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่า ๆ หรือ พระองค์มิได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา และครัวเรือนของเขาหรือ และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ พระองค์ได้ทรงอำนวยพระพรงานน้ำมือของเขา และฝูงสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์เถิด และแตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ และเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์ และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิดบรรดาสิ่งที่เขามีอยู่ก็อยู่ในอำนาจของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขาเท่านั้น” ซาตานจึงออกไปจากพระพักตร์พระเจ้าจากพระธรรมข้อนี้ทำให้เห็นว่าซาตานมีอำนาจมาก แต่มันไม่สามารถแตะต้องคนของพระเจ้าได้ นอกจากว่าพระเจ้าจะอนุญาติ

 

ลักษณะเฉพาะตัวของมาร

1. เต็มไปด้วยสติปัญญา อสค. 28: 12 ได้กล่าวถึงบุคลิกลักษณะของพญามารไว้ว่า “เจ้าเป็นตราแห่งความสมบูรณ์แบบ เต็มด้วยสติปัญญา และมีความงามอย่างพร้อมสรรพ”

2. เต็มไปด้วยความงามอย่างพร้อมสรรพ อสค. 28 : 17 กล่าวถึงพญามารว่า ” จิตใจของเจ้าผยองขึ้น เพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำสติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลง เพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า ”

3. เป็นบุคคลที่มีความหยิ่งผยอง อสค.24: 17 ท่าน อ.เปาโลกล่าวว่า “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ (อฟ. 6 :11) “ข้าพเจ้าเกรงว่างูนั้นได้ล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันฉันใด จิตใจของท่านก็จะถูกล่อลวงให้หลงไปจากความสัตย์ซื่อ และความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์ฉันนั้น 2 คร. 11: 3 จากพระธรรมข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าพญามารเป็นจอมอุบาย ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ท่านอาจารย์เปาโลกล่าวว่า “การกระทำเช่นนั้นไม่แปลกประหลาดเลย ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้ เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นแปลกอะไรที่คนร้ายรับใช้ซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ของความชอบธรรม ท้ายที่สุดของเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา 2 คร.11 :13,14,15

ท่านเปโตรกล่าวถึงพญามารว่า “ท่านทั้งทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่า ศัตรูของท่านคือมาร วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ ” 1 ปต. 5 : 8 “แต่เนื่องจากคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หายไป” มธ. 13 : 25 และในข้อ 17 ,18 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชชั่วได้แก่มาร” ในอฟ.4 : 26 ,27 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกดินท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร ” จากข้อพระธรรมทุกข้อที่ระบุไว้นี้ชี้ให้เห็นว่ามารเป็นนักฉวยโอกาสที่ชั่วร้าย ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังให้ดี
พระเยซูได้ทรงกล่าวถึงมารว่า “ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่าน คือ มารและท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อของท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล ยน. 8: 34 และ 1 ยน. 3 :12 ท่านยอห์น สอนว่า “จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมาร และได้ฆ่าน้องของตนเอง” ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองข้อชี้ให้เห็นว่ามารนั้นเป็นบุคคลที่โหดร้ายมาก เพราะมันเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชัง ทำลายกัน ฆ่ากัน และทำสงครามกัน (เปรียบเทียบ วว. 16: 13- 16 )

กิจการของพญามารในโลกนี้

กิจการของพญามารในโลกนี้
1. เป็นผู้ชักชวนมนุษย์ให้ทำบาป ปฐก 3: 1 – 6

2. เป็นผู้นำโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ โยบ 2 :7 กจ.10 18 ,ลก.13: 26 จะเห็นได้ว่ามารเป็นผู้นำโรคร้ายมาสู่มนุษย์ มันเป็นมารของชีวิต มันทำลายความสุขที่มนุษย์พึงมี มันทำลายจิตวิญญาณ และร่างกายของมนุษย์ด้วย

3. เป็นผู้นำความตายมาสู่มนุษย์ ฮบ.2 :18 ,รม 6: 23 ,รม 5: 12 โดยเหตุที่พญามารเป็นผู้นำความบาปเข้ามาในโลก และความตายก็เกิดมาเพราะความบาปนั้น เพราะ “เหล็กไนของความตายนั้น คือบาป” 1 คธ.14: 46 และผู้มีอำนาจแห่งความตาย คือ มาร นั่นเอง

4. มารเป็นผู้วางบ่วงแร้วไว้ดักมนุษย์ ท่านเปาโลกล่าวว่า ” นอกจากนั้นเขา (ผู้ปกครองดูแล) จะต้องเป็นที่นับถือของคนภายนอก มิฉะนั้นจะเป็นที่ติเตียน และติดบ่วงแร้วของมาร ” 1 ทธ. 3 : 7 และใน 2 ทธ. 2: 25 , 26 “พระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจมาถึงซึ่งความจริง และพ้นจากบ่วงของมาร ผู้ซึ่งดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมาร” จากทั้งสองข้อนี้ชี้ให้เห็นว่ามารได้วางบ่วงแร้วของมันไว้ทั่วไป เพื่อดักจับคนของพระเจ้า และมวลมนุษย์ให้เป็นทาสของมัน

5. ทำให้จิตใจของมนุษย์มืดบอด จนกระทั่งเขาไม่อาจเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐได้ 2 คร. 4: 4 บอกเราว่า “ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาเห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายาของพระเจ้า

6. ฉกชิงพระวจนะจากผู้ฟัง โดยทำให้เขาลืมเสีย และไม่ให้เจริญเติบโต และเกิดผลได้ มก. 4: 15 กล่าวว่า “ซึ่งตกริมทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านแล้ว และเพื่อบุคคลได้ฟัง ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านถูกใจเขานั้นไปเสีย” จากข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีการประกาศพระวจนะกี่หนก็ตาม พญามาร และพรรคพวกมักจะแทรกแซงอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น เพื่อชิงเอาพระวจนะนั้นไปเสีย ดังนั้นพระเยซูจึงทรงเตือนผู้ฟังว่า ” เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจะฟังอย่างไร ก็จงเอาใจจดจ่อเพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้ผู้นั้นอีก ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา” ลก. 8: 14

เราควรมีท่าทีอย่างไรต่อพญามาร

1. เราต้องระวังระไวให้ดี และอย่าให้โอกาสแก่มาร 1 ปต. 4 8 ” ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมาร วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินให้ได้ และ อฟ. 4 27 “อย่าให้โอกาสแก่มาร

2. สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า และต่อสู้กับมาร อฟ.6 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อต่อต้านอุบายของพญามารได้ ,ยด.4 7 “จงน้อมใจลงฟังพระเจ้าแล้วมารจะหนีไปจากท่าน”

3.ในการต่อสู้กับมาร เราต้องพึ่งอาศัยพระคริสต์ พระคำของพระองค์ และคำพยานของเราเอง 1 ธซ.4 4 วว. 12 11

วาระสุดท้ายของพญามาร

ม.ธ.8: 28 – 29 มีคนสองคนออกมาจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์ เขาผีเข้าดุร้ายนักจนไม่มีผู้ใดอาจเดินผ่านทางนั้น ดูเถิดเขาร้องตะโกนว่า ท่านผู้เป็นบุตรของพระเจ้าท่านจะมายุ่งกับพวกเราทำไม จะมาทรมานเราก่อนเวลาหรือ

มารรู้ว่าพระเจ้ามีกำหนดเวลาสำหรับมันอย่างแน่นอน

มารรู้ว่าเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดยังไม่มาถึง

อ.เปาโลเปิดเผยให้เราทราบว่า ไม่ช้านานพระเจ้าแห่งสันติสุข จะทรงปราบซาตานให้ยับเยินใต้ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลาย รม.16: 20 ,วว. 12: 12

ม.ธ 25 :41 พระองค์ตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า เจ้าทั้งหลายผู้ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมารนั้น

“ส่วนมารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟ และกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะตกอยู่ในนั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ วว. 20: 10

บทความโดย ศจ.เจียมเม้ง แซ่เล้า