ความเจ็บปวดของผู้นำที่มีนิมิต
พระเจ้าได้ทรงประทานนิมิตในใจให้กับผมก่อนที่ผมจะประสพความสำเร็จ แล้วพระองค์เองก็เป็นผู้ทรงกระทำให้นิมิตนั้นสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้ว่าถึงแม้ว่าเราจะมีนิมิตที่พระเจ้าประทานให้ ถนนที่เราต้องฟันฝ่าไปให้ถึงนิมิตนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากศัตรู
เมื่อเรามีนิมิต เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจะเปลี่ยนไป ทั้งการพูด การกระทำ และการเป็นผู้นำ นิมิตที่เราได้รับจากพระเจ้าจะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่และขอบพระคุณพระเจ้าที่เราไม่ต้องเป็นผู้สร้างนิมิต แต่นิมิตเป็นสิ่งที่จะเสริมสร้างเรา
นิมิตคืออะไร? นิมิตคือเป้าหมายในอนาคตของเรา ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราก็จะไม่มีทิศทางในการดำเนินชีวิตและเดินทางไปอย่างสะเปะสะปะไร้จุดหมาย เราจะไม่มีแรงจูงใจและจะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ
เมื่อเราได้พบกับคนที่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าเราจะพบว่าพวกเขามักจะเป็นคนที่ทีความฝันหรือคนที่มีนิมิต พวกเขามีแสงไฟสว่างส่องไปยังเป้าหมายของคน พวกเขาทุ่มเทพลังงาน เวลาและเงินทองของตนไปสู่ทิศทางนั้น กระนั้น ถึงแม้ว่านิมิตของเราจะดูสวยงามเพียงใดก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีประโยชน์และผิดหวัง เพื่อว่าเราจะปล่อยให้นิมิตของเราตายไป หลายครั้งหลายหนที่พระองค์ทรงนำผมไปถึงชายแดนแห่งความตาย เพียวเพื่อให้ความฝันของผมเกิดใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ในปี 1958 หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมออกไปในพื้นที่ซึ่งคนส่วนมากมีอาชีพเป็นขอทาน ผมตั้งเต็นท์เก่าๆของทหารเรือสหรัฐฯแล้วก็เริ่มเทศนาผมมีสมาชิกในคริสตจักรเพียง 5 คน ผมไม่มีอาหารรับประทาน และผมหนาว และเนื่องจากไม่มีที่พักอาศัย ผมจึงนอนอยู่ในเต็นท์นั้นนั่นเอง
แต่พระเจ้าตรัสกับผมผ่านทางนิมิตและความฝันเรื่องอนาคตของผมว่า “เจ้าจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลี” ผมหัวเราะ “คริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีหรือ? ผมมีเต็นท์เก่าๆขาดๆ มีเสื่อหญ้าปูพื้นนอน และไม่มีใครสนับสนุนผมทางการเงิน ผมจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้ยังไง?”ผมถาม ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งที่มีในปัจจุบัน
เมื่อผมมองสถานการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของผม อนาคตของผมดูเหมือนไม่มีหวังอะไรเลย แต่เมื่อผมอธิษฐาน ผมก็สามารถมองเห็นตัวเองเป็นศิษยาภิบาลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้ ผมพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเอง เมื่อผมเปิดตาของตัวเองผมเป็นเหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อผมปิดตาของตัวเอง ผมเป็นผู้เชื่อที่ยังใหญ่
ผมเห็นนิมิตแห่งคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ ในขณะนั้น พระเจ้าสร้างภาพในจิตใจให้ผมเห็นภาพคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000 คน ใจหนึ่งผมก็ชื่นชมยินดี แต่ถ้าเป็นหนึ่งผมก็สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคจิตหรือเปล่าที่คิดเช่นนั้น ผมบอกสมาชิกทั้ง 5 คนถึงนิมิตที่ผมมี ผมบอกพวกเขาว่า “เราจะสร้างคริสตจักรใหญ่ที่สามารถจุคนได้ 3,000 คน คนจะมาคริสตจักรของเราเป็นพันๆคน คริสตจักรของเราจะกลายเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในโลก” พวกเขาทุกคนหัวเราะ พวกเขาคิดว่าผมบ้าไปแล้ว ภรรยาของผมซึ่งตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่รู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เธอบอกว่า “ถ้าคุณยังพูดเหลวไหลแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ฉันจะเลิกกับคุณ ฉันอายที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ เพราะทุกๆคนหัวเราะเยาะคุณ”
แต่ผมบอกว่า “ผมตั้งครรภ์ด้วยนิมิตว่าจะมีคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000 คน” ในปี1964 เรามีสมาชิก 3,000 คนและในปี 1969 เรามีสมาชิก 8,000 คน เราเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีและผมรู้สึกสนุกกับงานพันธกิจที่รับผิดชอบอยู่”
ผมพูดว่า “ผมมาถึงยอดเขาแล้วตอนนี้ ผมจะมีความสุขไปจนชั่วชีวิต” แต่วันหนึ่งพระสุรเสียงของพระวิญาณบริสุทธิ์ตรัสกับผมว่า “โช พันธกิจของเจ้าที่นี่สำเร็จแล้ว เราอยากจะให้เจ้าไปเริ่มพันธกิจโดยตั้งคริสตจักรใหม่ คราวนี้ เราอยากให้เจ้าสร้างคริสตจักรที่มีสมาชิก 10,000 คน”
ในช่วงนั้น ผมอยู่ด้วยนิมิตและความฝัน ผมมีเงินของคริสตจักรในธนาคารแค่ 1,000 เหรียญ แต่การสร้างคริสตจักรต้องใช้เงินอย่างน้อย 100ล้านเหรียญ
ผู้ปกครองคริสตจักรพูดกับผมว่า “โช คุณมีแต่นิมิต คุณไม่สามารถสร้างคริสตจักรด้วยนิมิต ถ้าคุณทำอย่างนั้นพวกเราจะย้ายไปอยู่คริสตจักรอื่น เพราะคุณกำลังเอาชีวิตและคริสตจักรที่เจริญเติบโตไปเสี่ยง และถ้าเราติดตามคุณต่อไป คนอื่นก็จะพากันหัวเราะเยาะเรา”
ในปี 1969 ผมซื้อที่ดินของคริสตจักรโยอิโดฟูลกอสเปิลด้วยเครดิต ผมไม่ได้จ่ายสักแดงเดียวสำหรับที่ดินนั้น ปัจจุบันนี้สินทรัพย์ของเรามีมูลค่ามหาศาล ทุกตารางนิ้วของคริสตจักรโยอิดมีค่าราวกับทองคำ
หลังจากที่ซื้อที่ดินของคริสตจักรไม่นาน ผมก็ทำสัญญากับบริษัทสถาปนิกและเราก็มีพิธีขุดดินเริ่มสร้างอาคาร วันนั้นอากาศหนาวและลมแรง มีหิมะตกประปราย อากาศในวันนั้นดูเหมือนจะพยากรณ์อนาคตของผม
4 ปีต่อมาผมหมดปัญญาหลายร้อยครั้งในเรื่องการสร้างคริสตจักร เพราะไม่มีเงินสดจ่าย หลายครั้งหลายหนผมถามพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นนิมิตจริงๆหรือเปล่า?” ถ้าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับนิมิตของคุณ คุณก็มักจะมีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นในใจเสมอ
ในขณะที่สถานการณ์ดูเหมือนหมดหวัง ทุกๆอย่างดูเหมือนมืดมนหมดหนทาง พระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างไกลไปหลายล้านไมล์ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งผมแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านก่อสร้างบอกผมว่า “ถ้าคุณไม่ทำต่อในเร็วๆนี้ เราจำเป็นต้องทุบทิ้ง เพราะสภาพผุกร่อนของมัน” ทุกคืนผมนั่งอยู่ใต้ตัวตึกนั้นและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอให้ตึกนี้พังลงมาทับข้าพระองค์ ขอให้สถานที่นี้กลายเป็นหลุมฝังศพของข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะได้ไม่ต้องชดใช้หนี้สินอีกต่อไป”
ผมไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครนอกจากพระเจ้า ผมวิงวอนต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้จริงๆหรือ? ”และพระองค์ก็ยังคงยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่านิมิตนั้นมาจากพระองค์เอง
เมื่อคุณกำลังตกอยู่ในการทดลอง อย่าแปลกใจที่เพื่อนของคุณหลายคนกลายเป็นเหมือนเพื่อนของโยบ เมื่อเพื่อนของผมมาหาผม พวกเขาพูดว่า “โช ความฝันของคุณยิ่งใหญ่หวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง พวกเรารู้สึกเสียใจกับคุณด้วยจริงๆ”
เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าเราไม่มีพระเจ้า นิมิตของผมตายไปหลายครั้ง แต่พระองค์ก็ทรงทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกและในปี 1974 คริสตจักรก็สร้างเสร็จสมบูรณ์
หลังจากที่นิมิตนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว พระเจ้าทรงตรัสกับผมในใจว่า “ ถ้าเจ้าเงยหน้าของเจ้าขึ้นเหมือนอับราฮัมแล้วมองไปทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก เราจะให้ผืนดินแก่เจ้าเท่าที่มองเห็น ” จากจำนวนสมาชิก 10,000 คนผมเห็นสมาชิก 30,000 คน ผมไม่คิดว่าผมจะเลี้ยงดูสมาชิกได้มากกว่า 30,000 คน
พระเจ้าตรัสว่า ” เอาล่ะ เราจะให้เจ้ามีสมาชิก 30,000 คน ” ดังนั้น ผมจึงตั้งครรภ์ด้วยนิมิตที่จะมีคริสตจักรประกอบด้วยสมาชิก 30,000 คน ไม่นานหลังจากที่คริสตจักรของเรามีสมาชิก 30,000 คน ผมก็บอกว่า ” ข้าแต่พระบิดาเจ้า พระองค์จะประทานนิมิตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้ข้าพระองค์อีกหรือไม่ ? ” แล้วพระองค์ก็ให้ผมมีนิมิตเห็นคริสตจักรที่มีสมาชิก 50,000 คน ผมมีความชื่นชมยินดี นั่นเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนกับมีแสงไฟส่องสว่างไปที่เป้าหมายนั้น จากนั้นเราก็มีสมาชิก 50,000 คน
ไม่นานหลังจากนั้น ในขณะที่ผมกำลังอ่านพระธรรมอิสยาห์บทที่ 54 พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตรัสกับผมว่า “ ต่อเติมอาคารของเจ้า เสริมสร้างคริสตจักรให้เข้มแข็ง เจ้ากำลังจะเติบโต เจ้ากำลังจะมีคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คน ”
ผมงงมาก “ ผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้เลย 100,000 คนเชียวหรือ สมาชิกของผมคงไม่เชื่อหรอก”
จากนั้นซาตานก็เริ่มรบกวนผม ยั่วยุไม่ให้เชื่อเช่นนั้น มันกล่าวว่า “ เจ้าเป็นนักฝันเพราะเจ้ามีปัญหาทางจิตที่ไม่สมดุลเหมือนคนอื่น ความฝันของเจ้าเป็นแค่เกมส์เท่านั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าหรอก ”
ดังนั้น ผมจึงเฝ้าอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก และพระเจ้าทรงใช้ข้อพระคัมภีร์เพื่อยืนยันนิมิตนั้น ผมจึงสามารถเห็นคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คนได้ ในวันอาทิตย์ต่อมา ผมพูดว่า “ เรากำลังจะวางแผนสำหรับคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คน ” ผู้ปกครองหลายคนเดินออกจากคริสตจักรไป
พวกเขาบอกว่า “ คุณบ้าไปแล้ว คุณไม่มีทางไปถึงเป้าหมายนั้นได้ เพราะตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรไม่เคยมีคริสตจักรไหนมีสมาชิกถึง 100,000 คนเลย ถ้าคุณจะทำอย่างนั้น เราก็ต้องต่อเติมคริสตจักรของเราอีกและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล เราจะคัดค้านในเรื่องนี้และต่อสู้กับคุณจนถึงที่สุด ”
ตลอดเวลาหลายปีที่ผมเทศนาเรื่องการเจริญเติบโตของคริสตจักร ผมไม่เคยเห็นคริสตจักรไหนเจริญเติบโตได้ถ้าไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง นิมิตและความฝันอาจจะตายได้ถ้าคุณต้องนำความฝันนั้นผ่านคณะกรรมการ มันจะเหลือแค่ซากศพเท่านั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของคริสตจักร พระองค์ไม่เคยใช้คณะกรรมการหรือคณะนิกายใดในการนำการฟื้นฟู พระองค์ทรงใช้คนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน ลูเธอร์ , จอห์น เวสเลย์ ดี แอล มูดี้ , บิลลี่ เกรแฮม และคนอื่น ๆ อีกมาก
คณะนิกายมักจะพยายามหาจุดยืนของพระเจ้าด้วยการอภิปรายและความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล แต่คริสตจักรในสมัยพระคัมภีร์ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาพูดกับสภาเยรูซาเล็มว่า “ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น ” ( กิจการ15:28 ) พวกเขาให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประธานในคณะกรรมการของพวกเขาเสมอ
ในสมัยคริสตจักรยุคแรกเมื่อพวกเขามีการประชุมคณะกรรมการ พวกเขาจะอธิษฐานและรอคอยพระเจ้า พวกเขาจะได้ยินเสียงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วเขาก็จะสามรถเขียนจดหมายเป็นทางการซึ่งขึ้นต้นว่า “ ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วและเราทั้งหลายก็เห็นชอบด้วย”
ในปัจจุบัน เราไม่ได้ทำเช่นนั้นเราพิจารณาเพื่อตัดสินใจในเรื่องต่างๆด้วยเงื่อนไขต่างๆที่เป็นไปในโลก ไม่ว่าจะเป็นสภาพทางเศรษฐกิจ, สถานการณ์ทางสังคม และเงื่อนไขของคริสตจักร แล้วนิมิตกับความฝันของเราก็จะถูกทำลายลง
เมื่อคริสตจักรของเรามีสมาชิก 50,000 คน และผมตั้งเป้าหมายที่จะมีสมาชิก 50,000 คน มีหลายคนต่อต้านผม ผู้ปกครอง 3 คนเริ่มกระจายข่าวว่า “ โชกำลังจะขูดรีดเงินจากสมาชิกทุกคนและทำให้พวกเขายากจน เขากำลังจะทำให้คริสตจักรนี้ยุ่งวุ่นวาย ”
มัคนายกหลายคนก็เข้าร่วมกับผู้ปกครองเหล่านั้น พวกเขาออกจากคริสตจักรและปล่อยข่าวกับพวกผู้สื่อข่าวสื่อมวลชนต่างๆเริ่มโจมตีผม พวกเขากล่าวว่า “โชกำลังจะสร้างคริสตจักรมหึมาเพื่อเกียรติยศและความต้องการของเขาเอง”
ในที่สุด พ่อของผมเองเข้ามาหาผมด้วยน้ำตานองหน้าบอกว่า “ลูกเอ๋ยเลิกคิดเรื่องนิมิตนี้ได้ไหม เรื่องนี้ทำให้ครอบครัวของเราวุ่นวายเหลือเกิน พวกเราสงสัยว่าลูกกำลังจะกลายเป็นคนหยิ่งยโส สมาชิก 50,000 คนยังไม่ทำให้ลูกพอใจอีกหรือ? ”
ผมพูดกับพ่อว่า “ผมรู้ว่านิมิตของผมทำให้ทุกคนเครียด แต่พระบิดาที่ยิ่งใหญ่กว่าพ่อต้องการให้ผมทำสิ่งนี้ พ่อคนไหนที่ผมควรจะเชื่อฟัง ผมต้องเชื่อฟังพระบิดาในสวรรค์อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ ”
ดังนั้น ผมจึงรักษานิมิตของผมไว้ ผมเทศนาและยืนยันในเรื่องนี้ ผมเริ่มรณรงค์หาเงินทุนสำหรับต่อเติมอาคารของเรา ผู้ปกครองที่ไม่พอใจค่อยๆเดินออกจากคริสตจักรไปทีละคน แต่ในที่สุดคริสตจักรก็ต่อเติมสำเร็จ ทันทีที่อาคารคริสตจักรของเราต่อเติมสำเร็จ เราก็มีสมาชิกมากกว่า 100,000 คนแล้ว
ผู้ปกครองคนหนึ่งที่ออกจากคริสตจักรไปแล้วเขียนมาบอกผมว่า “เราคิดว่าคุณจะต้องล้มเหลวแน่ แต่ในที่สุดคุณก็ทำสำเร็จ นั่นแสดงว่าพระเจ้าอยู่กับคุณ และเราผิดพลาดไป”
เมื่อคุณได้รับนิมิตจากพระเจ้าคุณจะได้รับการเจิมจากพระเจ้า เมื่อคุณได้รับการเจิมจากพระองค์ คุณจะดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยการอัศจรรย์
แต่การดำเนินชีวิตในโลกแห่งการอัศจรรย์ของพระเจ้านั้น คุณจะต้องเปลี่ยนความคิดของคุณ คุณต้องเลิกใช้ชีวิตตามเหตุและผลถ้าคุณต้องการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ
เมื่อเรามีสมาชิก 100,000 คน ผมอธิษฐานว่า “ ข้าแต่พระวิญยาณบริสุทธิ์แค่นี้หรือพระเจ้าข้า ” พระองค์ตรัสถามผมว่า “ เจ้ามองเห็นอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้ไหม ? ”
ผมเห็นคน 300,000 คนแล้วก็คนครึ่งล้าน ตอนนี้เรามีสมาชิก 700,000 คน การเลี้ยงดูคนจำนวนมากขนาดนี้ เราจำเป็นต้องมีคริสตจักรที่ถ่ายทอดทางดาวเทียมทั่วทุกเมืองที่อยู่ในเครือของเรา และเราใช้โทรทัศน์วงจรปิดจนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรของเรามีสมาชิก 700,000 คน นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมไม่มีนิมิต ผมไม่พร้อมที่จะของนิมิตมากกว่านี้อีก ผมเหนื่อย ถ้ามีสมาชิกมากกว่า 700,000 คน เราคงต้องซื้อที่ดินมากกว่านี้ และต้องหาที่ดินสำหรับคริสตจักรที่จะใช้ดาวเทียมสื่อสาร นั่นคงต้องใช้เงินมากและต้องรณรงค์หาเงินกันอีกครั้ง
ขณะนี้เรามีคริสตจักรที่ใช้ดาวเทียม 20 แห่ง คริสตจักรเหล่านี้มีขนาดใหญ่มีสมาชิกอย่างน้อยที่สุด 5,000 ถึง 10,000 คน ผมได้ก่อตั้งคริสตจักรทางดาวเทียมที่เป็นอิสระมากมายและให้ศิษยาภิบาลร่วมของผมดูแลเลี้ยงดูพวกเขา คริสตจักรอิสระในอันหยาง และซูวอนมีสมาชิกแห่งละ 100,000 คน
ผมค่อยๆปล่อยศิษยาภิบาลร่วมของผมรับคริสตจักรทางดาวเทียมไปดูแลรับผิดชอบ การที่จะหาศิษยาภิบาลร่วมที่สามารถดูแลคริสตจักรซึ่งใสมาชิก 10,000 คนนั้นเป็นเรื่องยาก ศิษยาภิบาลเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกฝนอบรมและต้องมีนิมิตของพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ศิษยาภิบาลร่วมของผมหลายคนไม่ประสพความสำเร็จในการเลี้ยงดูคริสตจักร ดังนั้น ผมจึงต้องพิจารณาเรื่องการมอบอำนาจให้ศิษยาภิบาลร่วมด้วยความระมัดระวังมาก
หลายคนถามผมว่า “มาถึงตอนนี้แล้ว คุณจะทำอะไรต่อไป”
การมีนิมิตและความฝันมากมายในหัวใจเวลาเดียวกันเป็นเรื่องเป็นไปได้ ในขณะที่ผมฝันเรื่องคริสตจักรโยอิโด พระเจ้าก็ให้ผมฝันเรื่องภูเขาอธิษฐานด้วย ในขณะที่ผมทำงานคริสตจักรและมีปัญหาเรื่องหนี้สินค่าก่อสร้างคริสตจักรท่วมตัวพระเจ้าก็ยังให้นิมิตเรื่องภูเขาอธิษฐานกับผม นอกจากงานคริสตจักรแล้ว เรายังมีงานสังคมสงเคราะห์มากมายในภูมิภาคเอเซียด้วย เราอบรมคนหนุ่มสาวของเราที่ติดยาหรือที่ต้องออกจากโรงเรียน เราให้ที่อยู่อาศัยแก่พวกเขาและให้อาหาร เสื้อผ้า รวมทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ หลังจากนั้นหนึ่งปี พวกเขาก็กลายเป็นคริสเตียนที่ดี และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ จากนั้น เราก็ส่งพวกเขากลับเข้าไปในสังคมอีกครั้ง เราสร้างบ้านให้คนชราทั้งหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งไม่มีใครเลี้ยงดู และเรากำลังสร้างมหาวิทยาลัย
6 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมกำลังต่อสู้เพื่อโครงการนี้ พระเจ้าทรงใส่ความฝันเข้ามาในใจของผมเรื่องการมีหนังสือพิมพ์รายวัน เมื่อเรากำลังนมัสการในครอบครัวและเป็นช่วงเวลาอธิษฐาน พระเจ้าตรัสกับผมว่า “โช ลุกขึ้น และเริ่มงานหนังสือพิมพ์รายวัน”
แต่พระเจ้ายืนกรานว่า “ เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ จงรับความฝันของเราไปและเริ่มงานหนังสือพิมพ์ ” ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก ผมคิดในใจว่า ทำไมต้องเป็นผมอีกแล้ว? ทำไมพระองค์ไม่เลือกองค์การทางธุรกิจ?
ตอนนี้หนังสือพิมพ์ของเรามียอดจำหน่าย 1 ล้านฉบับ ซึ่งมีพระกิตติคุณ 8 หน้ารวมอยู่ด้วยทุกฉบับ
ขณะนี้ผมได้ยินพระองค์บอกผมให้เดินทางไปรอบโลกเพื่อบอกคนอื่นให้รู้เรื่องเคล็ดลับของการเจริญเติบโตของคริสตจักร ช่วยผู้รับใช้พระเจ้าให้มีนิมิตยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่องานคริสตจักร ผมเรียกนิมิตนี้ว่าการเจริญเติบโตของคริสตจักรสากล และเป็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่ผมชัดเจนอันเป็นอนาคตของผม
ผมขอท้าทายคุณให้วิ่งตามนิมิตที่คุณมีในใจ ถ้าคุณวิ่งโดยไม่มีนิมิตคุณจะล้มเหลว คุณควรขอให้พระเจ้าสำแดงแผนการอนาคตของคุณให้คุณเห็น
คุณสมบัติประการแรกของศิษยาภิบาลที่มีนิมิตในหัวใจ นั่นคือ ” ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่และมีพลังซึ่งเป็นแรงจูงใจจากพระเจ้า “
ข้อมูลจากฝ่าย ประชาสัมพันธ์ วันที่ 24/06/2009