ประชาชาติ(หรือคริสตจักร) จะสิ้นสุดลงก็เพราะผู้นำ ในพระคัมภีร์เดิมมีเรื่องราวเช่นนี้ ปรากฎให้เห็น ประชาชนที่ไม่เชื่อฟังและทำตามผู้นำ ซึ่งได้รับการเจิมมาจากพระเจ้า ก็จะจบลงด้วยผู้นำที่โง่เขลาและมัวเมา

ผู้พยากรณ์ – ปุโรหิต – ประชาชน

อิสยาห์ได้กล่าวว่า “และจะเป็นอย่างนั้น ต่อปุโรหิตอย่างเป็นกับประชาชน…” (อสย 24.2) “คือผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะเท็จ และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามการชี้นิ้วของเขา และประชากรของเราที่มีการอย่างนี้…” (ยรม 5.31)

สังเกตได้ว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาจาก 2 ฝ่าย คือปัญหาของผู้นำ (ผู้พยากรณ์กับปุโรหิต) และประชาชน พระเจ้าไม่เพียงแต่จะจัดการกับความรับผิดชอบของผู้นำเท่านั้น แต่พระองค์จัดการคนที่ “ปรารถนาต่อสิ่งนั้น” ด้วย พระเจ้าทรงจัดการกับประชากรของพระองค์ที่ติดตามผู้นำที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
พระเจ้ามิได้ทรงตำหนิพ่อค้าในพระวิหารอย่างเดียว แต่รวมถึงคนซื้อด้วย สมมุตว่าผมมีเงิน 20 ดอลล่าร์จากผู้รับใช้คนหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ผมได้อธิษฐานเพื่อเขา ผมก็เลวพอกับเขาที่คิดไปว่า เงินสามารถซื้อของประทานแห่งพระเจ้าได้ (กจ 8.18-23) ถ้าคุณส่งเงิน 5 ดอลล่าร์ให้กับผู้ประกาศข่าวประเสริฐทางรายการวิทยุ เพื่อแลกกับน้ำ 1 ขวด จากแม่น้ำจอร์แดน โดยอ้างว่าน้ำนี้สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดได้ คุณก็งมงายเท่ากับคนนั้นและทั้งคุณกับเขาต่างถูกพิพากษาตามการกระทำ พระเจ้าทรงเรียกเราเพื่อให้รายงานตัวต่อพระองค์ทุกอย่าง ดังนั้นเราจึงต้องรู้ว่าผู้นำเช่นไรมีความเหมาะสมที่เราจะติดตามเขาไป

คริสตจักรหรือประชาชาติจะเติบโตหรือเสื่อมลงนั้นขึ้นอยู่กับผู้นำ

ผู้พยากรณ์เยเรมีย์ชี้ให้เห็นว่า “ผู้เลี้ยงแกะเป็นอันมาก(ผู้นำ) ได้ทำลายสวนองุ่นของเราเสีย เขาทั้งหลายได้เหยียบย่ำสวนของเราลง เขาทั้งหลายได้กระทำสวนอันพึงใจของเรากลายเป้นถิ่นทุรกันดารที่ร้างเปล่า เขาทั้งหลายได้กระทำสวนของเราให้ร้างเปล่า เมื่อร้างเปล่า ส่วนนั้นก็ไว้ทุกข์ต่อเรา แผ่นดินทั้งสิ้นก็ถูกทิ้งให้ร้างเปล่า เพราะไม่มีผู้ใดเอาใจใส่เรื่องนั้น (ยรม12.10-11)

พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพยากรณ์ด้วยเรื่องของชนชาติอิสราเอล ที่พวกเขาทำการหยาบช้าต่อประชาชน และนำเหตุการณ์ทุกอย่างไปสู่ความหายนะ ท่านจะเป็นอะไรหรือเป็นใครก็ขึ้นกับผู้นำที่ท่านติดตาม ท่านจะเจริญขึ้นหรือตกต่ำลงก็ขึ้นอยู่กับผู้นำคนนั้น

การเติบโตด้านจิตวิญญาณและการพัฒนาที่ถูกจำกัดโดยผู้นำ

ท่านศิษยาภิบาล สมาชิกส่วนใหญ่ไม่อาจเติบโตได้ภายใต้ระดับจิตวิญญาณของท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำที่มีบทบาท พระเจ้าทรงมอบให้ท่านก็เพื่อจะเป็นแบบอย่างแก่สมาชิกที่สามารถติดตามท่านได้

มีการถกเถียงกันในเรื่องของความรับผิดชอบของผู้นำ เนื่องจากทิโมธี ซึ่งเรื่องนี้อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า “กสิกรผู้ตรากตรำทำงานก็ควรเป็นคนแรกที่ได้รับผล” (2ทธ2.6) นั่นหมายความว่า ก่อนที่ผู้นำคาดหวังที่จะให้สมาชิกอธิษฐานเผื่อ ท่านต้องอธิษฐานเผื่อคนอื่นก่อน หากท่านต้องการให้คนอุทิศถวายตัว ท่านเองก็ต้องอุทิศถวายตัวด้วยเช่นกัน ท่านต้องเป็นคนแรกที่ได้รับผลนั้นตามที่ปรารถนาให้สมาชิกมีส่วนร่วม

จำเหตุการณ์ที่ชนชาติอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้หรือไม่ นั่นเป็นตอนที่ผู้นำได้พาประชาชนเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขาออกจากประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ว่า จะให้พวกเขาไปถึงแผ่นดินคานาอัน ภายใน 40 วัน สำหรับคนที่สามารถเดินได้ไว เขาก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับต้องใช้เวลาเดินทางถึง 40 ปี เพราะผู้นำเป็นเหตุ

ให้เรามาทบทวนเรื่องนี้กันอีกสักครั้ง เริ่มจากผู้นำจากตระกูล 12 เผ่า ถูกส่งออกไปเป็นผู้สอดแนมในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา และต้องกลับมารายงานสิ่งที่ได้เห็น
ในบรรดาผู้นำทั้ง 12 คน มีเพียงโยชูวาและคาเลบ ที่กลับมาพร้อมกับข่าวดี ส่วนที่เหลืออีก 10 คนกลับมาปฏิเสธความเชื่อว่า พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ พวกเขารายงานว่าได้เห็นคนรูปร่างใหญ่โตและมีกำลังมากกว่า พวกเขานำแต่ข่าวร้ายมา การรายงานเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำลายพระสัญญาของพระเจ้า
คำปฏิเสธของพวกเขามีผลอะไรต่อประชาชน ผู้ซึ่งติดตามถึง 2,500,000 คน พระคัมภีร์บอกว่า “คนทั้งหลายที่ได้เห็นพระสิริของเราแล้วได้เห็นการอัศจรรย์สำคัญที่เราได้กระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร และยังได้ทดลองเรามาตั้งสิบครั้ง และยังมิได้เชื่อฟังเสียงของเรา คนเหล่านี้จะมิได้เห็นแผ่นดินที่เราได้สัญญากับปู่ย่าตายายของเขา ฉะนั้น คนทั้งปวงที่สบประมาทเราจะไม่ได้เห็นแผ่นดินนั้นสักคนเดียว” (กดว14.22-23)
บรรดาผู้นำได้กุมชะตากรรมของประชาชนไว้ถึง 1,500,000 คน พวกเขาถูกปล่อยให้วนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี แผนการของพระเจ้าที่จะนำประชากรของพระองค์ไปสู่ดินแดนแห่งใหม่ และเป็นพรอันยิ่งใหญ่ได้ถูกทำลายลง
เห็นหรือไม่ว่าผู้นำนั้นมีความสำคัญเพื่อท่านจะได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงสัญญลักษณ์และคุณสมบัติของผู้นำที่ท่านควรจะติดตามไป

ผู้นำที่มาจากพระเจ้า

คุณลักษณะของผู้นำที่ดี และไม่ดี

ประการที่ 1

1. ผู้นำของพระเจ้า คือผู้ที่แสวงหาความรับผิดชอบ

ผู้นำที่ไม่ดี คือ ผู้ที่แสวงหาอำนาจ
ผู้นำที่มีความรับผิดชอบอาจจะมีคนติดตาม ขณะที่ผู้นำแสวงหาอำนาจ คนจะปลีกตัวออก

ผู้นำที่แสวงหาความรับผิดชอบ
อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าหวังใจในพระเยซูว่า ในไม่ช้า ข้าพเจ้าจะให้ทิโมธีไปหาพวกท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการชูใจ เมื่อได้รับข่าวของท่าน ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ทุกข์สุขอย่างแท้จริง เพราะว่าคนอื่นๆย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์ แต่ท่านรู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้วว่า เขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา บิดา…ข้าพเจ้าจึงหวังใจว่าจะให้เขามาโดยเร็ว…” (ฟป 2.19-23)
ทิโมธีเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและเอาใจใส่ต่อประชาชน เขาไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่ได้แสวงหาประโยชน์เพื่อคนของพระเจ้า เขาไม่คิดที่จะเป็นคนมีหน้ามีตา แต่เป้าหมายของเขาคือการรับใช้และดูแลเอาใจใส่ต่องานของพระเจ้า และคนของพระเจ้า

คำเตือน – ผู้นำนั้นไม่ใช่เจ้านาย
อัครทูตเปโตรได้เตือนผู้นำที่อาจจะตกอยู่ในการทดลองต่อการแสวงหาอำนาจ “จงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยความเลื่อมใส และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น” (1เปโตร5.2-3)
สิ่งที่เปาโลกล่าวไว้นั้นก็ชัดเจนดีแล้ว ผู้นำไม่ใช่เจ้านาย ผู้นำฝ่ายวิญญาณคือ ผู้ที่เต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อฝูงแกะของพระเจ้าในฐานะผู้เลี้ยง พระเจ้ามิได้ทรงพระประสงค์ให้ผู้นไใช้อำนาจกดขี่เหนือคริสตจักรแต่อย่างใด ผู้นำไม่ใช่เจ้านาย ผู้นำฝ่ายวิญญาณคือผู้ที่เต็มใจจะรับผิดชอบต่อฝูงแกะของพระเจ้า ในฐานะผู้เลี้ยง

คุณลักษณะของผู้นำที่ดีและไม่ดีประการ 2

1. ผู้นำที่ดีจะเอาใจใส่ต่อการดูแลเลี้ยงดูฝูงแกะ
2. ผู้นำที่ไม่ดีจะมุ่งไปที่ “ผลประโยชน์” จากฝูงแกะ
ผู้พยากรณ์เยเรมีย์ได้พยากรณ์ถึงบรรดาปุโรหิต เพราะท่านได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สัตย์ซื่อของผู้นำ ท่านได้คัดค้านพวกเขา เยเรมีย์รู้ดีว่าพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่า “…เราจะให้ผู้เลี้ยงแกะ คนที่พอใจเราแก่เจ้า ผู้ซึ่งจะเลี้ยงเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ” (ยรม3.15) ถ้าท่านเป็นผู้รับใช้ที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือท่านจะเอาใจใส่ต่อฝูงแกะของท่าน
พระเจ้าทรงสัญญาอีกว่า “แล้วเราจะรวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น พระเจ้าตรัสว่า เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขาและเขาทั้งหลายจะไม่กลัวเขาอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย” (ยรม23.3-4)
ผู้นำทั้งหลายที่เลี้ยงฝูงแกะของเขา คือ ผู้ที่เราจะติดตามท่าน

ผู้เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว
คราวนี้ ให้เรามาดูอีกแง่มุมหนึ่งว่าเราต้องระมัดระวังคนที่ละเลยต่อฝูงแกะ
“จงพยากรณ์กล่าวโทษว่าแก่เขา คือผู้เลียงแกะว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล ผู้เลี้ยงตัวเอง ผู้เลี้ยงแกะย่อมเลี้ยงแกะมิใช่หรือ เจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่ ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็มิได้พันผ้า ตัวที่หลงไปเจ้ามิได้ตามกลับมา ตัวที่หายไปเจ้าก็มิได้เสาะหา และเจ้าได้ปกครองเขาด้วยการบังคับและด้วยการกดขี่ เบียดเบียน ดังนั้นมันจึงกระจัดกระจายไปหมด เพราะว่าไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และมันก็ไปเป็นอาหารของสัตว์ป่าทุ่งทั้งหลายหมดและกระจัดกระจายไป แกะของเราก็เที่ยวไปตามภูเขาทั้งหมดและตามเนินเขาสูง เออ แกะของเราก็กระจายไปทั่วพิภพ ไม่มีใครเที่ยวค้น ไม่มีใครเสาะหามัน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงแกะ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือของเขา และให้เขายับยั้งการเลี้ยงแกะของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากบาปของเขา เพื่อมิให้แกะเป็นอาหารของเขา” (อสค34.2-10)

เมื่อ 2 – 3 ปีก่อนผมได้รับเรื่องหนึ่งจากผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียง ท่านผู้นี้เป็นอาจารย์สอนเรื่องความสัมพันธ์ที่ “ถูกต้อง” ระหว่างผู้เลี้ยงและสมาชิก
ท่านผู้นี้เชื่อว่าสมาชิกต้องรับเลี้ยงผู้นำอย่างแน่นอน ผมยังจำคำพูดของท่านได้ดีว่า “เมื่อผมอยากจะทาสีบ้านใหม่ ผมก็จะเรียกสมาชิกของผมแล้วเขาก็จะมาทาสีบ้านให้ผม หรือว่าถ้าหญ้าที่สนามหญ้ามันยาวต้องตัดเสียที ผมก็จะบอกสมาชิกและเขาก็จะจัดการตัดหญ้าให้ผมเสร็จ”
ผมเองยังคิดไม่ตกเลยว่า ถ้าผู้ที่รู้ตัวดีว่าเขากำลังเดินอยู่บนทางของพระเจ้า และรู้จักทางของพระองค์ดี เขาพูดออกมาได้อย่างไรว่าสมาชิกต้องเป็นผู้รับเลี้ยงเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาต่างหากที่ต้องเลี้ยงดูสมาชิก

พระเจ้าตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังและชัดเจนว่า “จงหลีกเลี่ยงผู้นำเช่นนั้นเสีย… เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่ากะตัวอ้วนๆ เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่”
ผู้พยากรณ์มีคาห์ได้ชี้ให้เห็นถึงจิตวิญญาณและการปกครองที่ตกต่ำไม่บริสุทธิ์ของผู้นำว่า “ผู้สร้างศิโยนด้วยโลหิต และสร้างเยรูซาเล็มด้วยความผิด ผู้เป็นประมุขของเมืองนี้ตัดสินความเห็นแก่สินบน ปุโรหิตของเธอสั่งสอนด้วยเห็นแก่สินจ้าง ผู้เผยพระวจนะของเธอทำนายด้วยเห็นแก่เงิน” (มีคาห์3.10-11)
พระเจ้าตรัสกับเราว่า ถ้าเราร่วมมือกับผู้นำที่มีความผิด เพียงเพื่อพะยุงอำนาจไว้ ทั้งผู้นำและประชาชนต่างก็จะถูกพิพากษาโค่นลง พระเจ้าจะส่งการพิพากษามายังพวกเขา

พระเยซูทรงสถาปนาผู้นำคริสตจักรที่มีคุณภาพ พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขจิ้งจอกป่ามา เขาจึงทิ้งฝูงแกะ หนีไป สุนัขก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้าง และไม่เป็นห่วงแกะเลย” (ยน10.12-13)
คนรับจ้างย่อมดูแลแกะเพียงเพื่อเงิน เป็นเพียงสิ่งจูงใจมทีเขาต้องการได้มาเท่านั้น เขาไม่ได้ดูแลฝูงแกะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้แกะเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง และเขาของมันเป็นเพียง “แกะโง่ๆ” เพราะนั่นเป็นเป้าหมายในงานรับจ้าง

ผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงนั้น ต้องดูแลเอาใจใส่แกะของเขา ด้วยความเต็มใจที่จะปกป้องด้วยชีวิตของเขา ถ้าแม้จะต้องทนหิวเขาก็ยอมเพื่อให้แน่ใจว่า แกะของเขาได้กินอาหารแล้ว เขาจะไม่มีความคิดว่าเขาได้ค่าตอบแทนเท่าไร หรือได้รับกรรมสิทธิ์มากเท่าใด
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เลี้ยงที่แท้จริงและสัตย์ซื่อจะไม่ได้รับการเลี้ยงดู พระคัมภีร์ได้หยิบยกนิทานเปรียบเทียบเพื่อสอนเราให้เข้าใจถึงความรับผิดชอบที่ควรจะเป็นของผู้เลี้ยงไว้ว่า “อย่าเอาตระกร้อครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าว” ระหว่างที่วัวกำลังทำงานบนลานนวดข้าว พระคัมภีร์ได้ให้สิ่งที่วัวควรจะได้ นั่นคืออาหารที่ได้จากข้าวที่มันนวด
จากเรื่องนี้ พระเจ้าสอนเราว่า ผู้นำนั้นต้องได้รับการเลี้ยงดู อย่างไรก็ตาม ถ้าวัวตัวใดที่กินพืชผลเสียหมด มันก็จะถูกครอบปากเสีย และชาวนาอาจจะหาวัวตัวใหม่มานวดแทน วันนั้นจะต้องนวดข้าวได้มากกว่าที่มันกินเข้าไป หรือถ้านำข้าวไปขายแล้วจะต้องได้กำไรกลับคืนมา

เรื่องทำนองนี้ค่อนข้างจะพูดยากสักหน่อย แต่ถ้าเราไม่ระมัดวัง มัวแต่เลินเล่อ เราก็ตกอยู่ในการล่อลวงของซาตานที่มีต่อผู้นำ 4 ประการด้วยกันคือ ความต้องการเงิน(โลภ), ตำแหน่ง, อำนาจ(ความหยิ่ง) และเรื่องเพศ โดยพระคุณพระเจ้าเท่านั้นที่จะคุ้มครองผู้นำให้พ้นจากการตกอยู่ในอำนาจการล่อลวงต่อความบาป อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่าง
ถ้าผู้นำรู้จักระวังตัว อธิษฐานสำรวจชีวิตของท่านเสมอ และเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้พระองค์ส่องแสงจิตใจที่สามารถปรับความต้องการ และมีชัยชนะเหนือการทดลองแล้ว เขาก็จะประสพผลอันดี ซาตานจะเข้ามาทางสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือสิ่งที่เป็นมลทิน และเป็นเหตุให้ผู้นำติดกับดักของมัน สิ่งเหล่านี้จะถูกปิดกั้นจากผู้นำได้นั้น ต้องพึ่งการอธิษฐานและขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
เราจะได้รับการสอนให้อธิษฐานเผื่อผู้มีอำนาจทุกคน ในที่นี้หมายรวมถึงผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณและผู้นำฝ่ายโลก

คุณลักษณะของผู้นำที่ดีและไม่ดี ประการที่ 3
1. ผู้นำที่ควรติดตามนั้นคือ ผู้ที่รวบรวมฝูงแกะเข้าด้วยกัน

2. ผู้นำที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ผู้นำที่ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป

3.ผู้นำที่ดีจะรวบรวมฝูงแกะเข้าด้วยกันด้วยความอ่อนสุภาพ

“ดูเถิด พระเจ้าเสด็จมาด้วยอานุภาพและพระกรของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์ ดูเถิด รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และค่าตอบแทนของพระองค์ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแพะแกะของพระองค์อย่างผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง และทรงค่อยๆนำบรรดาที่มีลูกอ่อนไป(อสย40.10-11)

นั่นคือภาพที่บรรยายถึงผู้เลี้ยงที่แท้จริง: ผู้ที่รวบรวมแกะเข้าด้วยกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราเชื่อฟังผู้นำที่สละชีวิตของเขาเองต่อฝูงแกะ และให้สังเกตว่าเป้าหมายหลักของผู้รวบรวมแกะนั้นคืออ่อนสุภาพ ผู้นำที่แท้จริงของพระเจ้านั้นต้องเป็นคนอ่อนสุภาพ

กษัตริย์ดาวิดผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอลกล่าวว่า “พระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น” สุภาพอ่อนโยนและความถ่อมใจนั้นไม่ใช่อ่อนแอ ความสุภาพอ่อนโยนนั้นสำแดงออก โดยความช่วยเหลือ หนุนใจคนที่อ่อนแอและช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือและปลอบโยนกระตุ้นให้คนนั้นมีเรี่ยวแรงและเข้มแข็งขึ้น
มีคำเขียนถึงพระเยซูคริสต์เจ้าของเราว่า “ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ท่านจะไม่ดับ…” (อสย42.3) เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่อ่อนสุภาพ เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นคนที่ชอกช้ำ พระองค์จะทรงรักษาเยียวยาเขาให้หาย และจะไม่ทำให้เขาเจ็บปวด เมื่อพระองค์แลเห็นคนที่กำลังตะเกียกตะกาย ต่อสู้กับการงาน พระองค์จะทรงเข้ามาหาและจุดประกายไฟ (ด้วยความยินดี) จนกว่าชีวิตของเขาจะลุกขึ้นยืนหยัดเฉกเช่นไส้ตะเกียงที่ลุกโชติช่วงและสามารถเห็นถึงความจริงและความบริสุทธิ์อย่างชัดเจน

อันที่จริงแล้ว ยังมีคนที่จริงใจอีกเป็นจำนวนมาก กำลังดิ้นรนต่อสู้ในการใช้ของประทานของเขา พวกเขาเป็นเหมือนไส้ตะเกียง ผู้นำต้องไม่ไปดับแสงสว่างนั้น แต่ผู้นำต้องจุดไส้ตะเกียงนั้นให้ลุกโชติช่วงส่องสว่างเป็นพระกายขึ้นมา นี่คือความหมายของผู้นำที่อ่อนสุภาพ เป็นผู้เลี้ยงซึ่งนำฝูงแกะมารวมกันได้

ผู้นำที่ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป

อีกแง่มุมหนึ่งของผู้นำที่ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจาย ในที่นี้พระบิดาทรงตรัสถึงคนประเภทนี้ว่า “วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะ (ผู้นำ) ผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา” เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสกับผู้เลี้ยงแกะ(ผู้นำ) ผู้ดูแลประชากรของเราดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจใส่มัน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิดเราจะเอาใจใส่เจ้าเพราะการกระทำทำที่ชั่วของเจ้า” (ยรม23.1-2)
ผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงทุกคนจะรวบรวมแกะเข้าด้วยกัน แต่ผู้เลี้ยงไม่แท้จะทำให้แกะกระจัดกระจายสร้างความสับสนวุ่นวาย แบ่งแยกและตอบโต้ ผู้นำชนิดนี้เราต้องหลีกเลี่ยง

คุณลักษณะของผู้นำที่ดีและไม่ดีประการที่ 4
1. ผู้นำที่ดีนั้นรู้ว่าลูกแกะเป็นของพระเจ้า
2. ผู้นำที่ไม่ดีจะอ้างสิทธิ์ในลูกแกะ
ผู้เลี้ยงที่แท้จริงนั้นให้พระเจ้ามีสิทธิ์ในลูกแกะ แต่ผู้เลี้ยงที่ไม่แท้จะอ้างสิทธิ์ในลูกแกะ และประกาศโจ่งแจ้งว่าตนเป็นเจ้าของแกะเหล่านั้น
ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ ไม่มีพระคัมภีร์ตอนใดที่สนับสนุนหรือเห็นด้วยกับการอ้างสิทธิ์ในลูกแกะของผู้เลี้ยงที่ไม่แท้เลย และแน่นอนที่สุด พระคัมภีร์ได้ชี้ชัดลงไปว่าพระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นเจ้าของแกะ ไม่มีผู้เลี้ยงคนใดมีสิทธิ์ในแกะเลย “…เราก็เป็นของพระองค์ เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์” (สดด100.3) และสดุดี23.1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ”

ผู้เลี้ยงที่แท้จริงจะรู้ว่าพระองค์เดียวเท่านั้น มีสิทธิ์ในแกะทั้งหลาย แต่ผู้เลี้ยงที่ไม่แท้นั้นจะอ้างว่าแกะเป็นสิทธิ์ของตน
หนังสือผู้พยากรณ์เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ว่า “และเราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะผู้หนึ่งไว้เหนือเขา คือดาวิดผู้รับใช้ของเรา และท่านจะเลี้ยงเขาทั้งหลาย ท่านจะเลี้ยงเขาและเป็นผู้เลี้ยงของเขา…และเขาจะทราบว่าเราคือ พระยโฮวาห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล เป็นประชากรของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในลานหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์ และเราเป็นพระเจ้าของเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ” (อสค 34.23, 30,31)
พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ในแกะนั้น พวกเขาเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และพระองค์ทรงต้องการให้เรารับรู้ และเข้าใจด้วยเช่นกันว่า พวกเขาไม่ได้เป็นของผู้นำหรือคณะนิกายใด แต่เป็นของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

อาจารย์เปาโลได้เตือนว่า “พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด” (1คร6.20) หลักการง่ายๆก็คือพระเยซูทรงซื้อเราไว้แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไป แต่เราเป็นของพระองค์ และเราจำเป็นต้องถวายเกียรติต่อพระเจ้า ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณของเรา พระองค์มีสิทธิ์ในตัวเราและทรงประทับตราเราไว้แล้ว ไม่มีตราประทับใดจะมาแทนที่ตราประทับของพระเยซูติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว” (กท 6.17) อาจารย์เปาโลมีความยินดีที่ท่านไม่ถูกประทับเป็นอย่างอื่น นอกจากเครื่องหมายของพระเยซูเจ้าเองอาจจะต้องตกเป็นทาสของสิ่งอื่นๆใดก็ได้ แต่ท่านได้อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์

…ไม่เพียงแต่ผู้นำที่เป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาเท่านั้น…บ่อยครั้งที่ลูกแกะเองก็แสวงหาความพอใจใส่ตัวเอง…
ผู้เลี้ยงที่แท้คือผู้ที่รู้ว่าเขาเป็นของพระเจ้า คนที่อ้างสิทธิ์ในลูกแกะและอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองแทนพระเจ้า เขาผู้นั้นก็ได้ละเมิดต่อกฎบัญญัติแล้ว

 บทความโดย ราล์ฟ มาโอนี วันที่ 24/06/2009