เมื่อผู้ชายอายุล่วงเลยเลข 3-4 แล้ว เขาจะ “แต่งกับงาน” มีการวิเคราะห์พบว่า คนส่วนมากที่บ้างานมักจะประสบความล้มเหลวในชีวิตครอบครัว มีผู้นำหลายคนที่ไม่อยากให้บ้านอลเวง จึงเลือกที่จะสละบางสิ่งบางอย่างที่จะผลักดันให้ชีวิตของเขาก้าวหน้าไปและมีชื่อเสียง โดยยึดเอาครอบครัวไว้เป็นอันดับแรก

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาชื่อ Paul A. Lee Evans ได้กล่าวถึงผู้นำระดับบริหารว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักใจสำหรับผู้บริหารเสมอ บางคนก็ว่าครอบครัวสำคัญที่สุด แต่เขาก็ยังคิดว่า งานเท่านั้นที่ทำให้เขาพอใจ”
ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างงานกับครอบครัว !
Paul ไม่พูดเปล่า ยังได้ทำการสำรวจอีกด้วย โดยคัดเลือกผู้นำระดับสูงมา 450 คน แล้วสอบถามให้ได้ใจความขัดแย้งแดงแจ๋ไปเลยว่า ผู้นำที่มีอายุระหว่างเท่าใด เลือกเอาอะไรระหว่างงานกับครอบครัว

ผลที่ออกมาคือ ผู้นำที่มีอายุระหว่าง27-34 ปี
ส่วนมากมักจะให้ความสำคัญแก่งานมากกว่าครอบครัว พวกเขามุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว จนกระทั่งลืมนึกภรรยาและลูกที่รอคอยอยู่ทางบ้าน
เมื่อเขากลับมาถึงบ้านก็อ่อนระโหยโรยแรง พอภรรยาพูดผิดหูหน่อย อารมณ์ก็บูดขึ้นมาทันที จึงเกิดมีปากเสียงกัน บางคู่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ถึงขั้นลงมือลงไม้กันก็มี ด้วยเหตุนี้ครอบครัวจึงหาความสุขไม่ได้ทั้งๆที่เขาก็รู้นะว่า งานเป็นเหตุ แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะว่า “มันบ้างาน” เสียแล้ว

ผู้นำที่มีอายุระหว่าง 35-42 ปี
พอผู้นำอายุล่วงเลยมาถึงระดับนี้ส่วนมากจะเริ่มมองเห็นความสำคัญของครอบครัว และหาความสุขอยู่กับภรรยาและลูก เขาจะลดงานลง และเพิ่มความสนใจไปที่ครอบครัวมากขึ้น เช่น กลับบ้านเร็วขึ้นพาครอบครัวออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหรือทำอาหารอร่อยๆรับประทานร่วมกันที่บ้าน

ผู้นำอายุ 43 ปีขึ้นไป
ผู้นำที่เข้าวัยปูนนี้แล้ว เริ่มจะให้ความสนใจต่อคนอื่นๆมากขึ้น เวลาที่เขาจะทำอะไรสักอย่างต้องคิดแล้วคิดอีกว่า มันคุ้มกับเวลาและแรงงานที่เสียไปไหม งานบางอย่างเขาอาจจะไม่ทำเพราะมันเปลืองสมองโดยเปล่าประโยชน์
ยิ่งผู้นำอายุมากขึ้น ถ้าเขาจะทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาจะทำไปเพียงเพื่อความพอใจมากกว่าต้องการเงินหรือความสำเร็จ

เมื่ออาจารย์เปาโลเขียนจดหมายไปถึงทิโมธี ซึ่งรับตำแหน่งหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลแห่งคริสตจักรเอเฟซัส (1ทิโมธี 3:2,4) ท่านได้บอกถึงลักษณะของ “ผู้นำที่ดี” ไว้หลายประการ และมีอยู่ 2 ประการที่กล่าวถึงผู้นำกับครอบครัว คือ

1.ผู้นำจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตของตนเอง “ผู้ปกครองดูแลนั้นต้องเป็น….สามีของหญิงคนเดียว”
ผู้นำบางคนไม่ได้นอกใจภรรยาหรอกแต่ขาดการเอาใจใส่ นั่นก็เท่ากับไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตด้วย เพราะตอนที่แต่งงานกัน เขาได้ให้สัญญาต่อหน้าศาสนจารย์ผู้ประกอบพิธีว่า “จะรักและซื่อสัตย์และทะนุถนอมเธอไว้”

2. ผู้ปกครองต้องมีอำนาจในฐานะสามีและพ่อ
“ผู้ปกครองดูแลนั้นต้องเป็นคนครอบครองบ้านเรือนของตนได้ดี อบรมบุตรธิดาของตนให้อยู่ในโอวาทและมีใจนอบน้อม”
และได้ให้เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสังคมคริสเตียนว่า “เพราะถ้าชายใดไม่รู้จักครอบครองบ้านเรือนของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไรได้ไ (ข้อ5)

พระคัมภีร์ได้บอกถึงลักษณะของครอบครัวที่มีความสุขไว้ดังนี้

ผู้เป็นสามี
“ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตักร” (เอเฟซัส 5 : 25)

ผู้เป็นภรรยา
“ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 5 : 22)

ผู้เป็นบุตร
“ฝ่ายบุตรจงนบน้อมเชื่อฟังบิดามารดาในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก (เอเฟซัส 6 : 1)
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ผู้นำที่รักลูกรักเมีย ปรารถนาให้ครอบครัวได้รับพระพรจากพระเจ้าและมีความผาสุก เขาย่อมจะให้ความสำคัญแก่ครอบครัวมากกว่างาน เพราะพลาดงานยังพอหาใหม่ได้แต่ถ้าครอบครัวพังย่อมจะเสียหายขนาดหนัก บางทีเกินที่จะเยียวยาให้กลับคืนดังเดิมได้ !

ดังนั้น ผู้นำที่ฉลาดจะยินดีปฏิเสธงานบางอย่าง หรือตำแหน่งที่สูงขึ้น หากว่างานหรือตำแหน่งนั้นมันแย่งเอาเวลาสำหรับครอบครัวของเขาไป แม้ว่าเขาจะมีโอกาสรับเงินเพิ่มขึ้นถึง 50 % ก็ตาม

ประการแรก จัดตารางเวลาสำหรับครอบครัว

ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ย่อมรู้ดีทีเดียวว่า ในแง่ธุรกิจนั้นการจัดตารางเวลานั้นสำคัญมากขนาดไหน นั่นหมายความว่า เขาจะต้องจัดตารางเวลาให้แก่ครอบครัวด้วย เช่น เขาจะใช้เวลารับประทานอาหารเช้าพร้อมกันกับภรรยาและลูก เขาจะใช้เวลานั้นพูดคุยกับบุคคลในครอบครัวในเรื่องงาน ,บ้าน , การเรียน ,เพื่อนบ้าน และเรื่องราวเกี่ยวกับฝ่ายจิตวิญญาณ ยิ่งวิเศษถ้าได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งและอธิษฐานด้วยกันที่โต๊ะอาหารเย็น หาเวลาที่จะพาภรรยาและลูกไปเดินเล่นด้วยกันที่สาธารณะใกล้บ้าน และเป็นการดีถ้าจะปิดทีวี (ตัวทำลายสมาธิ) เสียชั่วคราวแล้วใช้เวลานั้นพูดคุยกัน จะได้อรรถรสมากเลยทีเดียว

ประการที่ 2 ฟังคนในครอบครัวพูดเสียบ้าง

เมื่อผู้นำกลับจากทำงาน หรือกลับจากการรับใช้พระเจ้าในแต่ละวัน เขาจะรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า จนสมองไม่สามารถเปิดรับอะไรได้อีก เวลาเช่นนี้แหละผู้นำควรรวบรวมสมาธิ ตั้งใจฟังคนในครอบครัวพูดบ้าง ภรรยาจะบอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านบ้าง ลูกก็จะบอกว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง มีคนหนึ่งกล่าวเตือนผู้นำไว้อย่างน่าคิดว่า “ในที่ทำงานของคุณ คุณอาจจะต้องเครียดกับปัญหาซึ่งเกี่ยวกับความเสียหายมีมูลค่าถึง 10 ล้านบาท ถึงตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ภรรยาของคุณอาจจะมีปัญหามูลค่าเพียง 100 บาท ถึงแม้จะแตกต่างกันมากมายสักเพียงใด อย่าลืมนะว่าปัญหาวึ่งมีมูงค่าเพียง 100 บาทของภรรยานั้น สำหรับเธอแล้ว อาจมีค่าพอๆกับปัญหา 10 ล้านบาทของคุณ”

ประการที่ 3 ให้ครอบครัวได้รับรู้งานด้วย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภรรยาและลูกๆมีความสนใจในหน้าที่การงานของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว บางครั้งพวกเขาเอาใจใส่จนผู้นำเองคาดไม่ถึงนั้น ผู้นำที่ฉลาดจะแบ่งปันให้แก่ครอบครัวได้รับรู้ถึงหน้าที่การงานและปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานของเขา แต่ต้องระมัดระวังมิให้การแบ่งปันกลายเป็นคำบ่นหรือใช้ภรรยากับลูกเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ค้างจากที่ทำงาน มีลูกของศิษยาภิบาลและศาสนจารย์หลายคน ที่ไม่ยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า เพราะเขามองเห็นแต่ปัญหา…. ปัญหา…. และปัญหา ที่พ่อของเขาแก้ไม่ตกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้ารับใช้พระเจ้าแล้วยุ่งจนไม่มีเวลาให้แก่ครอบครัวอย่างนี้แล้ว เขาไม่เดินตามรอยของพ่อก็ดีกว่า !

ประการที่ 4 ติดต่อครอบครัวบ่อยๆ

ตรงนี้แหละครับที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นนักเทศน์และผู้ประกาศ ส่วนใหญ่แล้วมักจะตะลอน ๆ ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้อยู่เป็นประจำ ทำหน้าที่วิทยากรในการประชุมฟื้นฟู สัมมนาต่างๆอย่างน้อยงานหนึ่งก็กินเวลา 3-5 วัน
ผมเคยเห็นนักเทศน์บางคนรับ 3-4 งานติดต่อกันเลย โดยไม่ต้องกลับบ้าบนั่นก็เกินไปหน่อย

มีข้อแนะนำดังนี้

1.ผู้นำควรจะนำเรื่องงานมาปรึกษาหารือและอธิษฐานร่วมกับครอบครัว
2. แจ้งหมายกำหนดการต่างๆให้ทางครอบครัวทราบว่า ช่วงใดอยู่ที่ไหนมีที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
3. ถ้าเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศควรจะส่งจดหมายหรือโปสการ์ดมาถึงทางบ้านบ่อยๆหากเป็นไปได้ควรจะโทรศัพท์ถึงภรรยาเสมอ

ผู้นำครับ ทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ เป็นเพียงข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆ เพื่อจะช่วยท่านให้ก้าวหน้าไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ มิใช่ท่านเพียงผู้เดียว แต่ทุกคนในครอบครัวด้วย ดีไหมครับ

 บทความโดย โดย นรินทร์ อ้อมเมือง วันที่ 02/08/2008