ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนิมิตและความฝันของคนของพระเจ้าหลายครั้งในพันธสัญญาเดิม เช่น โยเซฟ ฝันถึงดวงจันทร์ 11 ดวงมาคำนับเขา และแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่ชนชาติของพระองค์ คือ เนบูคัดเนสซาร์ก็ฝัน แต่ไม่มีผู้ใดทำนายฝันนั้นได้ นอกจากดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น ในพันธสัญญาใหม่ เปโตรอธิษฐานจนเข้าสู่ภวังค์และได้รับนิมิตจากพระเจ้า เรื่องให้รับประทานอาหารที่ชาวยิวถือว่าเป็นมลทินได้
เราจึงพบว่านิมิตรและความฝันมีความหมายต่อชีวิตคริสเตียน แต่เราไม่อาจบอกได้ว่า ทุกครั้งที่ฝันนั้นจะต้องเป็นจริงเสมอไป
ผู้เขียนเองได้มีประสพการณ์ในทั้งสองอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เป็นประจำทุกๆวัน เเต่จะเป็นช่วงๆในชีวิตในการรับใช้ เพื่อสาเหตุในการหนุนใจ และเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า จึงอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าฝันและเกิดความมั่นใจในความฝันนั้นว่าจะเป็นจริง เหมือนกับพระเจ้ายึ้าเตือนหรือรับรอง ซึ่งเป็นอาการเดียวกับความมั่นใจในการได้ยินพระสุรเสียงหรือการตรัสจากพระเจ้า และเหตุการณ์นั้นก็เป็นจริง มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าฝันว่าเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งได้ทะเลาะกับมารดา และ และมั่นใจลึกๆว่ามาจากพระเจ้า วันต่อมาข้าพเจ้าก็ได้นำเรื่องนี้บอกแก่พี่สาวของเขาให้ระวังและดูแลด้วย ต่อมาอีกประมาณ 1สัปดาห์พี่สาวของเพื่อนสมาชิกผู้นี้มาบอกกับข้าพเจ้าว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ่นจริงๆ และเธอก็ได้ห้ามน้องชายเธอไม่ให้หนีออกจากบ้าน และเขาก็ยอมเนื่องด้วยพี่สาวของเขาได้เล่าความฝันของข้าพเจ้าไห้เขาฟัง นี่เป็นเพียงหนึ่งในความฝันที่ข้าพเจ้านำมาเป็นพยานให้ฟัง
ส่วนเรื่องของนิตรนั้น หรือการเข้าภวังค์ เกิดขึ่นในชีวิต ในยามที่พระเจ้าต้องการสำแดงบางอย่างแก่ข้าพเจ้าเป็นพิเศษ แต่จะเล่าที่สักเรื่อง และส่งผลต่อชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ในปีแรกของการถวายตัวในการรับใช้ของข้าพเจ้า เช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากที่อธิฐานเสร็จแล้ว ตั้งใจจะนอนพักสักงีบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นเอง มีบรรยกาศเหมือนเมฆ มาปรกคลุมทั่วเตียงไปหมด ไม่เพียงเท่านั้น เตียงของข้าพเจ้าสั่นมาก เสียงปีกดังบินรอบเตียง ขณะเดียวกันนี้เองมีความรู้สึกตัว ไม่ใช่ความฝัน ข้าพเจ้ารู้สึกตัวทุกอย่าง และพยายามจะลุกขึ่นแต่ก็ไม่สามารถลุกชึ่นมาได้ เวลาผ่านไปประมาณ 1-2 นาที บรรยากาศนั้นก็หมดไป พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงนำผม ให้เปิดพระคัมภีร์โดยเปิดด้วยความไม่ตั้งใจ พอดีกับพระธรรมอิสยาห์ 6:1-6 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ฑูตสวรรค์เสราฟิม บินอยู่เหนือวิหารเสียงปีกดังไปหมดและธรณีวิหารก็สั่น สะเทือน มีเมฆปกคลุมวิหารเต็มไปหมด จุดนี้เองข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่ง และท่านก็พยากรณ์ว่าข้าพเจ้าจะได้รับใช้พระองค์ด้านดนตรีนมัสการ ซึ่งขณะนั้นผมยังมองไม่ออกเลยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อมาประมาณปี 1996 พระเจ้าทรงนำให้ข้าพเจ้ามารับผิดชอบงานด้านนี้จริงๆ และจากนิมิตรนี้มีหลายอย่างที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของของข้าพเจ้าอย่างมากมาย.

ความหมายของความฝัน
ฝัน (น.) หมายถึง นึกเห็นในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นึกเห็นอย่างเลื่อนลอย นิมิตต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจในขณะนอนหลับ (จากพจนานุกรมไทย)
นอกจากนี้ ยังมีความหมายอื่นอีก เช่น ฝันเฟื่อง (คิดไปเอง) ฝันกลางวัน (จินตนาการเอง) ฝันสลาย (ผิดหวัง)
I. ความฝันความเชื่อของผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า
หลวงวิจิตรวาทการ ได้รวบรวมบัญชีหนังสือของซิกมันด์ ฟรอยด์ ซึ่งได้รวบรวมคนแต่งหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถึง 747 เล่ม คือ เป็นภาษาเยอรมัน 401 เล่ม ภาษาฝรั่งเศส 14 เล่ม ภาษาลาติน 6 เล่ม ภาษารัสเซีย 4 เล่ม และภาษามคธอีก 4 ฉบับ
สมัยอริสโตเติล ปราชญ์ชาวกรีก มีความเชื่อว่าเมื่อมนุษย์หลับ ร่างกายส่วนใดกระทบความร้อน อาจฝันว่าเดินบนไฟ และเชื่อว่าเป็นฝันไม่ดี

ที่มาของความฝัน
ก. เกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อฝนตกขณะที่เราหลับ เราได้ยินเสียงฝน เราอาจฝันว่าได้เล่นน้ำ ว่ายน้ำ มีเสียงฟ้าแลบโครมคราม อาจฝันว่าอยู่ในสนามรบ บางครั้งแพทย์สามารถใช้ความฝันเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิดได้ ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อเรานอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราหยุด หัวใจเราสงบ จนสู่ภวังค์ (Unconsciousness)
บางครั้งอากาศหนาว เมื่อนอนหลับ อาจฝันว่าได้อยู่ต่างประเทศที่มีหิมะ หรือว่าอาบน้ำหนาวมาก สะดุ้งตื่นและลุกขึ้นมาห่มผ้า หรือเมื่อจิตใต้สำนึกทำงานอยู่ นำเหตุการณ์ในวันนั้นมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริง ๆ ในฝันวันนั้น
ข. เกิดจากความจำความปรารถนา
1. ความจำ มีหลักอันหนึ่งทางอัธยาตามวิทยาว่า สิ่งไรที่เราจำไว้แล้ว สิ่งนั้นไม่รู้จักลบเลือนไปจากมันสมองของเราเลย
ความฝันเกิดจากความจำในอดีตที่เราได้ทำ จากธรรมชาติ ครอบครัว ทำให้เมื่อได้กลิ่น หรือได้อ่าน ได้รับรู้สัญญาลักษณ์นั้น แล้วนำไปฝัน
อยากจะยกตัวอย่าง เช่น เราอาจเคยไปสถานที่แห่งหนึ่งในอดีตนานมาแล้วในวัยเด็ก แต่จำไม่ได้ เมื่อถูกสะกดจิต จะทำให้ระลึกถึงได้
2. ความปรารถนา
ตัวอย่าง เมื่อเรานอนหลับ และอาจหิวน้ำในขณะหลับนั้น จนทำให้ฝันว่าอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง หิวจัดจนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในที่สุด และลุกขึ้นมาดื่มน้ำ
บางคนอาจปรารถนาอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมกมุ่นอยู่แต่ความคิดอยากได้นั้น จนทำให้ฝันว่าได้รับสิ่งนั้น
ค. ฝันเป็นเครื่องมือบอกคำตอบ
นี่เป็นงานของจิตใต้สำนึก มีนักวิชาการหลายคนสมัยนี้ที่มักถาจิตสำนึกก่อนนอน เมื่อคิดงานบางอย่างไม่ออกให้ถามจิตใต้สำนึก และตื่นเช้ารู้สึกเข้าใจปัญหา หรือเป็นความฝันเลยในคืนนั้น
ง. ฝันถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าเชื่อว่า
กระแสจิตของคนที่คิดร้ายหรือดี มากระทบกระแสจิตของคนที่หลับ ทำให้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เรื่องกรรมดีหรือชั่วที่ยังไม่ส่งผล แต่ล่องลอยมาถึงตัวผู้รับกรรมนั้น เป็นเงาและอาจปรากฏเป็นความฝัน บางครั้งฝันนั้นยังไม่เข้าไปสู่เจ้าของกรรมนั้น ไปบอกฝันอีกคนหนึ่ง
ลักษณะฝันที่เกิดขึ้นถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า
1) บอกลางตรง ๆ
2) บอกตรงกันข้าม
3) บอกรูปสมมติ
เช่น ฝันว่าเคย ไปที่หนึ่งและรู้สึกเหมือนเคยไปมาก่อน และต่อมาไม่นานก็ได้ไปจริง เช่น ฝันว่าได้พบคน ๆ หนึ่ง หรือเคยพบ ต่อมาก็ได้พบ

สรุป ความฝันผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้านั้นมีความหมายคือ
1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้น
2. เกิดจากความทรงจำ ความปรารถนา
3. เป็นเครื่องมือบอกคำตอบ
4. บอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะให้คำตอบที่ชัดเจน

เหตุการณ์ทั้ง 4 นี้มีไม่บ่อยครั้งนักในชีวิตที่เป็นจริง หรืออาจเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ในช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่อาจไม่เป็นจริงก็ได้

II. พระคัมภีร์สอนเรื่องความฝันอย่างไร ?

ก. ความฝันและนิมิต
เราคงต้องเข้าใจความหมายของความฝันแล้วว่าไม่แตกต่างจากนิมิตเท่าไรนัก (ปฐก.46:2, ดนล.7:1-7, กจ.16:7) กล่าวคือ ความฝันมักเกิดขึ้นในขณะที่เราหลับสนิท ส่วนนิมิตอาจเกิดขึ้นในขณะหลับหรือตื่นก็ได้ (1ซมอ.3:3-15, สดด.89:19)

ข. ความแตกต่างของความฝันและนิมิต
ความฝัน
1. เป็นสิ่งปกติธรรมดาในชีวิต เพราะคิดมาก ทำงานมาก ก็ฝันมาก (ปญจ.5:3)
2. พระเจ้าสำแดงทางฝันเพราะคนสมัยนั้นไม่มีพระคัมภีร์ (ปฐก.20:3, 31:24)
3. ความฝันมีความหมายแต่น้อยมาก (ปฐก.37:5-11)
นิมิต
1. เป็นสิ่งผิดปกติในชีวิต เกิดขึ้นเป็นพิเศษแก่บางคน เพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่าง (ปฐก.15:19, 2ซมอ.7:11) ที่พระเจ้าทรงใช้เขา
2. ส่วนมากพระเจ้าประทานให้แก่พวกผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม เพื่อให้พูดแทนพระเจ้า คือรอให้พระเจ้าทรงสำแดงพระดำรัสเสียก่อน (กดว.12:6, 2ซมอ.7:17)
3. มีผู้เผยพระวจนะเท็จอาจอ้างว่าเห็นนิมิตได้ (มคา.3:5-7)
4. หลังจากกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย ยิวตกไปเป็นเชลย เริ่มมองเห็นนิมิตมากจากผู้เผยพระวจนะ เพราะเขาถูกข่มเหงตลอดเวลา
ความฝันของชาวยิวและชาวต่างชาติในสมัยพระคัมภีร์
ยิว : เมื่อมีความฝัน เข้าใจง่าย ไม่ต้องอาศัยคนตีความหมาย (ปฐก.37:5-10)
ชาวต่างชาติ : เมื่อฝันมักต้องให้คนยิวตีความหมาย เพราะยิวเชื่อพระเจ้า (ปฐก.40:9-19)
สรุป
1. พระเจ้าประทานนิมิตและความฝันให้ แต่มักเกิดขึ้นกับคนที่ติดสนิทกับพระเจ้า สัตย์ซื่อ มีชีวิตสอดคล้องกับพระคัมภีร์ และมีจริยธรรม
2. เกิดขึ้นเองเนื่องจากความปรารถนาบางอย่าง จนทะเยอทะยานใฝ่ฝันจะทำและบอกว่ามี “นิมิต” พระเจ้าอาจจะไม่รับรองก็ได้
3. มาจากการใช้จิตวิทยา เพราะต้องการผลประโยชน์บางอย่าง เป็นการกระตุ้นผู้อื่นโดยใช้คำว่านิมิตชักจูงเพื่อสนองความต้องการของตน

ค. พระคัมภีร์เตือนให้ระวังคนที่ชอบอ้างนิมิตและความฝัน คนเหล่านั้นใช้คำเท็จชักนำคนให้หลงตาม (ฉธบ.13:1-3, ยรม.23:25-32)

ง. พระเจ้าใช้ความฝันเป็นวิธีเผยพระวจนะเพื่อให้ทราบพระโอวาทของพระองค์ (กดว.16:6)
สรุป
1. ความฝันที่เป็นบ่อนทำลาย โจมตี ลางร้าย มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากความคิดมาก หรือพูด หรือได้ยินในแง่ลบ
2. ความฝันที่จริงจะสอดคล้องกับพระวจนะพระเจ้าซึ่งเราสามารถนำมาไตร่ตรองได้ มากกว่าจะเป็นเรื่องร้ายมาสู่ผู้อื่น
3. เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่
1) ดูชีวิตของผู้ฝัน
2) ตรงตามพระคัมภีร์หรือไม่ ให้สำรวจดูเบื้องหลัง และตีความหมายในตอนนั้น ๆ
3) ถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่
4) ปรึกษาผู้ใหญ่ที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ

4. คนที่จะได้รับนิมิตหรือความฝัน
1) นิมิต
อิสยาห์ ขณะที่นมัสการในพระวิหาร
ดาเนียล นมัสการวันละ 3 เวลา และอดอาหาร
เปโตร ขณะที่อธิษฐานได้เข้าสู่ภวังค์
เศคาริยาห์ บิดาของยอห์นผู้ให้บัพติสมา ได้รับในพระวิหาร
ให้สังเกตุว่าชีวิตของบุคคลเหล่านี้ติดสนิทกับพระเจ้าจริง ๆ
2) ผู้ที่นอนแล้วฝัน
เนบูคัดเนสซาร์ ไม่เชื่อพระเจ้าแต่ฝัน สุดท้ายเรื่องนั้นเป็นการลงโทษตัวเขาเอง เพราะความเย่อหยิ่ง
ยาโคบฝันถึงบันไดของพระเจ้า และนมัสการพระเจ้า เป็นเรื่องตัวเขาเอง และเขาสร้างแทนบูชาถวายพระเจ้าที่นั้น
5. ไม่มีการฝันแทนกัน หรือรับนิมิตแทนกันได้
6. อย่าเพิ่งบอกใครเมื่อฝันหรือเห็นนิมิต จนกว่าพระเจ้าจะบอกให้พูดหรือเกิดเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
7. ควรบอกให้ชัดเจนว่า
1) เรามีนิมิต (คิดเอง)
2) เรารับนิมิต (อยู่ ๆ พระเจ้าประทานให้)
3) เราได้รับการท้าทายจนเกิดนิมิต (มีภาระ)

เมื่อฝัน ขอให้คิดถึงตนเองเป็นหลักก่อน อย่าคิดถึงคนอื่นหรือคิดว่าฝันนั้นเล็งถึงใคร ให้คำนึงว่าเราขุ่นเคือง ขมขื่น มีใจเคียดแค้น ทานมาก คิดมาก ทำงานมาก หรือหากพระเจ้าสำแดงอะไรแก่เราจริง ๆ นั้น มักจะเกี่ยวกับการเปิดเผยในเรื่อง “พระดำรัสของพระเจ้า” และเกิดขึ้นในกรณีมีชีวิตที่บริสุทธิ์ และติดสนิทกับพระเจ้ามากจริง ๆ เท่านั้น

หมายเหตุ
ข้าพเจ้าเขียนบทเรียนเรื่องนั้น มิใช่จะเขียนในแนววิชาการ หรือให้เป็นหลักการทฤษฎีใด ๆ แต่ได้รวบรวมจากความเชื่อของผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า จากหนังสือความฝันของหลวงวิจิตวาทการ และเปรียบเทียบกับหนังสือของคริสตชน “สารานุกรมพระคัมภีร์” และจากพระคัมภีร์ รวมทั้งจากประสบการณ์ที่บันทึกจากความฝัน การแยกแยะ สรุป จึงเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านในเชิง “ข้อคิด” เมื่อท่านฝัน ควรจะมีท่าทีอย่างไร

 

ข้อมูลจากฝ่าย คณะศิษยาภิบาล วันที่ 21/06/2002