เกี่ยวกับวิทยากร- Dr.John C. Maxwell อดีตเป็นศิษยาภิบาลของหลายคริสตจักรที่ล้วนประสบความสำเร็จ เมื่อท่านอยู่ในคริสตจักรแห่งใด ก็จะสร้างและพัฒนาผู้นำคริสตจักรแห่งนั้น ปัจจุบันท่านเป็นนักอบรมมืออาชีพ และนักเขียนเจ้าของผลงานกว่า 30 เล่ม ยอดขาย 10 ล้านเล่มต่อปี ที่ขายดีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น New York Times ,BusinessWeek,Wall Street Journl,USA Today,CBA Marketplace และยังเป็นเจ้าของ Maximum Impact ซึ่งมีผู้เข้ารับอบรมกว่า 350,000 คน ต่อปี ด้วยปรัชญาที่ว่า “รุ่งโรจน์ หรือล้มเหลว อยู่ที่ผู้นำ” และท่านมีเป้าหมายที่จะพัฒนาผู้นำทั่วโลก 1 ล้านคนสำหรับการเดินทางมาสัมมนาในเมืองไทยครั้งนี้ก่อนปิดรายการ 15 นาที ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่นักธุระที่มาร่วมสัมมนาด้วย

งานนี้จัดโดย Bridge Communication Co.,Ltd, สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจีบิสสิเน็สไทย

เรามาเปิดแนวคิดของท่าน ผู้ซึ่งจัดว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงระดับโลกบนเวทีสัมมนาในไทย ในหัวข้อ “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จที่แท้จริง- How to beREAL Success” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จที่แท้จริงมาจากผู้นำ ( Leadership ) ที่เก่งด้านสัมพันธภาพ และการฝึกฝน (Equipping) ทีมงาน รวมถึงต้องมีทัศนคติ (Attitude) ด้านบวก เพื่อผลักดันในงานก้าวไปข้างหน้าและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ความสำเร็จในมุมมองของแม็กซ์แวลมีอยู่ 2 ประการด้วยกัน

1. เป้าหมาย ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะรู้ว่าทำอะไรเพื่ออะไร แม๊กซ์เวลล์กล่าวว่า “วันสำคัญในชีวิตมีอยู่ 2 วัน คือวันที่เราเกิด และวันที่เราค้นพบว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไร
การที่จะสามารถรับรู้ได้ว่า เป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน ท่านแนะนำว่ามีปัจจัย 2 ประการ คือ
– ความปรารถนาทำในสิ่งที่เราต้องการ แรงปราถนานั้นจะเป็นตัวผลักดันให้เราทำอย่างดี
– และอีกปัจจัยหนึ่งคือ ความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งถ้าเรารู้ว่าตนเองเก่งด้านใด ทำงานด้านไหนออกมาดี ก็จะประสบความสำเร็จด้านนั้นโดยง่าย

2.การพัฒนาตนเองให้เติบโตไปยังขั้นสูงสุด เพราะคนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
คนที่ประสบความสำเร็จรู้ว่า สิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือ การเรียนรู้ และการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ เพราะคนเหล่านั้นจะกระหายในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
” การที่เราจะเติบโตไม่ใช่เป็นการเติบโตโดยอัตโนมัติ การทำงานไปวัน ๆ โดยไม่มีจุดหมาย ไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ”

ความสำเร็จซ่อนอยู่ในแผนการณ์แต่ละวัน ดร. แม็กซ์เวลล์ ระบุว่า วันนี้คุณใช้ชีวิตอย่างไรระหว่างเตรียมพร้อม( Prepare) ในสิ่งที่คุณจะทำในวันพรุ่งนี้หรือ ซ่อมแซม (Repair) สิ่งที่ได้ทำผิดพลาดในวันนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีการพัฒนาหรือการเตรียมการเลย

เรามักจะกล่าวถึงอดีตในแง่ดี โดยละเว้นการคิดถึงเรื่องร้าย ๆ และข้อผิดพลาดที่เคยได้กระทำ ซึ่งหากมีการพูดถึงข้อผิดพลาดร้าย ๆ และข้อผิดพลาดเหล่านั้น สิ่งที่ตามมาก็คือความคิดที่ว่า เราจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และสิ่งสำคัญเรามักจะประเมินอนาคตต่ำไป คนส่วนใหญ่มักจะคิดแต่ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด การประเมินพรุ่งนี้ต่ำไป จะทำให้เราเสียโอกาสในการกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยสิ่งที่ดีที่สุด

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะตัดสินใจในเรื่องสำคัญในช่วงต้น ๆ ของชีวิต และใช้เวลาทั้งชีวิตทีเหลือจัดการกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เพราะโดยทั่วไป คนจะให้ความสำคัญกับการตัดสินใจมากเกินไป โดยละเลยความสำคัญความสำคัญของการจัดการกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว

สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ การทำตารางในช่วงปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงปกติ ทุกคนจะเริ่มตัดสินใจเรื่องที่จะทำในปีนั้น แต่คนส่วนมากมักจะล้มเลิกเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า การตัดสินใจไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นการบริหารการตัดสินใจต่างหาก

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญนอกจาก 2 ประการ ที่จะประสบความสำเร็จ คือต้องทำเพื่อคนอื่น แทนที่จะทำเพื่อตนเองอย่างเดียว เพราะเราไม่สามารถประสบความสำเร็จ ก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำได้โดยไม่มีใครตาม สิ่งที่ควรทำคือ การเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่น ซึงสามารถทำได้โดย

1. เพิ่มคุณค่า (Add Value) ซึ่งเป็นสิ่งง่าย ๆ การช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่นจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง และผู้ที่เราเข้าไปสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้ (Win 3 Win Sltuation)

2. การวางตนให้มีคุณค่าเพียงพอ ผู้นำจำนวนมากเป็นเหมือนบริษัทท่องเที่ยว ที่นำคนไปยังที่ต่าง ๆ ที่ตนเองไม่เคยไป ดังนั้นเราควรสอนและแนะนำในสิ่งที่เรารู้ และเรียนรู้ที่จะเติบโต ไม่เช่นนั้น คนอื่นๆ ที่รู้เท่าๆ กับเราและแสวงหาความรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะก้าวหน้าและก้าวข้ามเราไป

3. ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะผู้นำไม่ใช่คนที่วิ่งสู่เส้นชัยเป็นคนแรก แต่ต้องรอ เพื่อที่จะเป็นผู้ฟังคนในความรับผิดชอบ

ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากผู้นำที่เก่งด้านมนุษย์สัมพันธ์และการฝึกอบรมทีมงาน รวมถึงต้องมีทัศนะคติด้านบวก เพื่อผลักดันงานให้ก้าวไปข้างหน้า และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้

การที่จะเป็น Real Success ได้จึงต้องอาศัยปัจจัย 4 อย่าง
R คือ Relationship หรือสัมพันธภาพกับผู้อื่น ให้คุณค่ากับผู้อื่น คนเราจะไปด้วยกันไมได้ ถ้าเข้ากันไมได้ ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งถูกจำกัดด้วยความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย เห็นได้จาก 70 % ของผู้ที่ลาออก ไม่ได้มีปัญหากับงาน แต่เข้ากันไม่ได้กับผู้นำ

หลักของการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น 3 ประการของ ดร. แม๊กซ์เวลล์ คือ

1.กฏของฆ้อน หรือ Law of Hummer ที่พูดถึงปฎิกริยาที่มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ ปฎิกริยาที่มากเกินไปจะทำให้ปัญหาร้ายกว่าเดิม สิ่งที่ต้องคิดถึง คือ ต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าสถานการณ์นั้น ๆ มิเชนนั้นความสัมพันธ์จะถูกลดค่าลงเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่ตกอยุ่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย

2.กฎแห่งความเจ็บปวด คนที่เจ็บปวดทำร้ายคนอื่น และถูกผู้อื่นทำร้ายได้ง่าย ถ้าคุณกำลังทำร้ายผู้อื่นอยู่ภายใน คุณก็ถูกทำร้าย และพร้อมที่จะทำร้ายผู้อื่น เพระเรามองผู้อื่นไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นเป็น แต่มองในแบบที่เราเป็น

3.กฎแห่งลิฟต์ คนที่เรามีปฎิสัมพันธ์ด้วย เปรียบเหมือนลิฟต์ บางคนยกระดับคุณขึ้น ในขณะที่บางคนลดคุณค่าคุณลง ซึ่งคนที่ยกระดับคุณขึ้นจะเรียกตนเองว่า Lifter ที่จะทำให้คุณมีพลัง รู้สึกดีกับตัวเอง มีชีวิตชีวา และนำคุณขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ ในขณะคนที่ลดคุณลงจะเรียกว่า Leaner คือเมื่อคุณเข้าไปในลิฟต์แล้วจะมีเพียงปุ่มเดียว คือ B ที่จะพาคุณต่ำสู่ชั้นใต้ถุน

หลักสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

1.กฎ 30 วินาที ที่จะใช้ในการพูดกันใน 30 วินาทีแรกจะเป็นการชมเชย หรือพูดในสิ่งที่ดี ๆ ที่จะทำให้ผู้พูดเป็นคนมีบารมี และดึงดูดใจ

2.แบ่งปันความลับของคุณให้ผู้อื่น จะทำให้ผู้นั้นมีความรู้สึกพิเศษ และมีความสำคัญ

3.ยกย่อง สรรเสริญผู้อื่น สร้างความสำคัญให้กับผู้นั้น

4.เข้าใจจิตใจของผู้อื่น การที่จะประสบความสำเร็จได้ ในการสร้างความสัมพันธ์ จะต้องรู้ว่าผู้อื่นใส่ใจเรื่องใด อะไรสำคัญสำหรับเขา

คำถาม 3 ข้อ ที่จะรู้ถึงกุญแจที่จะเข้าถึงจิตใจคือ อะไรที่เขาใฝ่ฝัน อะไรที่ทำให้เขามีความสุข และอะไรสำคัณสำหรับเขา ปัจจัยที่สำคัญ คือ ต้องจดจำให้ได้ว่า คำตอบที่ตอบมา คือ อะไร เพื่อจะนำไปต่อยอดสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าเดิม

E คือ Equipping คือการพัฒนาอบรมทีมงาน หรือพนักงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน คนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ จะรู้ว่าสามารถฝึกผู้อื่นอย่างไร วิธีที่เราจะร่วมความฝันได้ก็คือ ต้องฝึกอบรมและเสริมสร้างศักยภาพของทีมงาน การทำงานเป็นทีมทำให้ความฝันเป็นจริงได้ เพราะว่าคน ๆ เดียวไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ หรือถึงทำได้ก็ไม่ดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน

ในยุค 80 คนมักพูดถึงคำว่า “บริหารจัดการ” การบริหารจัดการองค์กร หรือบริษัทต่างๆ ต่อมาคนเปลี่ยนโฟกัสที่การบริหารจัดการมาเป็น “ความเป็นผู้นำ” เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก และผู้บริหารมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในขณะที่ผู้นำจะคาดว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ต่อมาในปี 2000 เราให้ความสำคัญกับคำว่า “ทีมผู้นำ” ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จก็ต้องพ้ฒนาทีมงานให้เป็นผูนำและมีความคิดอย่างผู้นำด้วย เราคนเดียวทำตามกฎ 21 ข้อไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกอบรมให้ทีมงานเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ กัน พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้นำ ผู้นำอย่างเราเป็นทั้งผู้นำ และผู้ตามในเวลาเดียวกัน เราตามลูกทีม เราได้พัฒนาตัวเองไปแล้ว

ประเด็นที่สำคัญ คือ ต้องพัฒนาทีมงานและพัฒนาผู้นำ วิธีการหนึ่งสำหรับการพัฒนาผู้นำ คือ เขาจะมีกฎ 21 ข้อและให้สมาชิกของทีมผู้นำแต่ละคนอ่านคนละข้อ ภายใน 1 สัปดาห์จะให้แต่ละคนขึ้นมาสอนในหัวข้อนั้น วิธีนี้จะทำให้ทุกคนมีความเชียวชาญแต่ละด้าน

โดยอิงจากกฎแต่ละข้อและให้ประเมินกันเองโดยมีคะแนนตั้งแต่ 1 – 10 เพื่อให้เติมเต็มซึ่งกันและกัน แข่งขันกันเอง เราอาจจะมองตนเองไม่เหมือนที่คนอื่นมอง ถ้าทำตามวิธีนี้ได้ก็จะกลายเป็นทีมคิดอย่างสร้างสรรค์ เมือ่เราแบ่งปันความเห็น 1 + 1 = 2 เมื่อกลายเป็น 2 ก็คือความร่วมมือ หรือ Synergy

5 ขั้นตอนในการฝึกฝนทีมงาน

1. เราทำเป็นตัวอย่างให้เขาดู เราต้องมั่นใจว่า เราทำสิ่งที่กำลังจะให้เขาทำได้ ขั้นตอนนี้เราเป็นแบบอย่าง

2. เราทำให้เขาอยู่ด้วย เราทำให้ให้เขาดูและเรียนรู้ไปพร้อม ๆกัน

3.เขาทำเองและเราอยู่ด้วย เปิดโอกาสให้เขาลองทำเอง

4.เขาทำเองโดยเราไม่อยู่ด้วย คนส่วนใหญ่มักหยุดที่ขั้นตอนนี้จะไปสอนคนอื่นต่อไป

5.เขาทำเองและมีคนอื่นที่จะเรียนรู้คนใหม่อยู่ด้วย ขั้นตอนนี้คือเขาสามารถทำได้เอง และกำลังจะไปฝึกฝนคนอื่นต่อไป

A หรือ Atuitude หรือทัศนคติ คนพูดที่สร้างแรงจูงใจมักกล่าวว่าทัศนคติเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ทัศนคติเป็นตัวสร้างความแตกต่าง คนที่ประสบความสำเร็จมีทัศนคติที่ยอดเยี่ยมกี่ยวกับการมองปัญหาความยุ่งยาก และการจัดการกับปัญหา

จริง ๆ แล้วปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหา คือ คุณเอง และทัศคติ ถ้าทุกคนมีทุกอย่างเท่าเทียมกันแต่คนที่มีทัศนคติที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
คนที่ประสบความสำเร็จ จะมีทัศนคติเกี่ยวกับความล้มเหลวที่ดีมาก เขาจะมองว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ประเด็น คือ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นให้ได้ เมื่อเราล้มเหลวเรามีทางเลือก 2 ทาง คือ เราจะให้มันทำร้ายเรา หรือเรียนรู้จากมัน

คำกล่าวอีกข้อหนึ่งที่คนชอบพูดถึง ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่มีอายุมากที่สุดก็ต้องมีทัศนคติ หรือทำอะไร ๆ ได้ดีที่สุด ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น บางคนแก่แล้วแต่ไม่ได้ทำอะไรดี เราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์และคิดว่าจะทำอะไรต่อไป เปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้รับเป็นความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ถ้าเรามัวแต่อาย และปิดบังความล้มเหลว เราก็จะไม่มีวันเรียนรู้และอาจทำผิดซ้ำสอง คนที่ประสบความสำเร็จคิดแตกต่างจากคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คนเราต้องมี “เก้าอี้แห่งความคิด” กล่าวคือ เราใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้ “เพื่อคิด” โดยไม่ทำอย่างอื่นเลย และเราจะคิดได้เพิ่มขึ้น ได้ไอเดียดี ๆ จากการคิด

คำถามแรกที่ต้องถามก่อนการพัฒนาก็คือ

1. ถามตัวเองว่า แผนการนี้ทำให้ตนเองเติบโตอย่างไร เราจะทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้ตนเองเติบโต และพัฒนาไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าที่การงานหรือด้านอื่น ๆ

2. ต้องถามว่าตัวเองเรามีแผนการอะไรสำหรับการเติบโตของทีมงาน หรือพนักงาน เราจะเติมเต็มพัฒนาพวกเขาได้อย่างไร เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพสูงสุด กฎของการทำงานเป็นทีมมี 17 ข้อ กฎเกี่ยวกับความสำคัญข้อหนึ่งก็คือ คน ๆ เดียวเป็นจำนวนน้อยเกินไปที่จะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
นอกจากนั้นยังมีกฎของภูเขาเอเวอรเรสต์ กล่าวคือ ยิ่งสูง ยิ่งท้าทาย ยิ่งกดดัน เรายิ่งขึ้นยิ่งต้องมีทีมที่แข็งแกร่ง แต่ในกรณีที่มีความฝันที่ดี และมีทีมที่แย่ จะแย่ที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องประเมินขนาดความฝันกับคุณภาพของทีมของเราให้สอดคล้องกัน
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ตระหนักถึงคุณค่าของการมีคนช่วยเหลือ ถ้าเรามีความคิดที่ดี และไม่ได้แบ่งปันกับผู้ร่วมงาน ทั้งเขาและเราก็จะมีแต่ความคิดเดียว แต่ถ้าเราได้แบ่งปัน เราก็ได้ 2 ความคิด ทั้งยังสามารถขยายขอบเขตความคิดของเราออกไปได้อีก ผู้นำยังเป็นผู้กำหนดความสำเร็จอีกด้วย คนส่วนใหญ่ลาออกจากหัวหน้าไม่ได้ลาออกจากบริษัท

Leadership หรือความเป็นผู้นำ มีกฎ 5 ประการ ที่เปรียบเหมือนขั้นบรรไดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณตลอดไป จากหนังสือ Developing within you

ขั้นแรก คือ ตำแหน่ง (Position) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น จุดเริ่มงานหลังจากที่คุณเริ่มเข้ารับตำแหน่งผู้นำ คำสำคัญ สำหรับตำแหน่งนี้คือ ” สิทธิ” คนทำตามคุณเป็นเพราะว่า จำเป็นต้องทำ บางคนคิดว่าเมื่ออยู่ในระดับของตำแหน่งนี่คือ สิ่งสูงสุดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วเป็นขั้นแรกของผู้นำ

ขั้นที่ 2 การอนุญาติ ( Pemission ) คำสำคัญ คือ สัมพันธภาพ คนตามคุณเพราะว่าเขาอยากตาม เขาชอบคุณ พวกเขาจะทำงานเกินหน้าที่เล็กน้อย เพื่อคุณ พวกเขาอนุญาติให้คุณเป็นผู้นำ

ขั้นที่ 3 ผลผลิต ( Production ) คำสำคัญ คือ ผลลัพธ์ ในชั้นนี้คนตามคุณเพราะว่าคุณประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ คุณทำงานเพื่อองค์กร ในขั้นนี้จะเกิดโมเมนตัม หรือแรงผลักดันที่ทำให้เราทำในสิ่งที่มากกว่าเราทำได้จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกสิ่งดูดีกว่าความเป็นจริง ผู้นำที่ดีจะสร้างแรงผลักดันให้เกิดขึ้น

ขั้นที่ 4 คือ ขั้นการพัฒนา ( Development) คำสำคัญคือ การผลิตตัวเองขึ้นมาใหม่ คนทำตามคุณเพราะว่าคุณทำเพื่อเขา ช่วยเหลือทั้งองค์กร และคน ทรัพยารบุคคลมีค่ามากที่สุดเมื่อได้รับการฝึกอบรม

ขั้นนี้จะเกิดความจงรักภักดีต่อผู้นำ ขั้นสูงสุด คือ ชั้นศรัทธาตัวบุคคล คำสำคัญ คือ เคารพ คนทำตามคุณเพราะคุณเคยช่วยคนไว้มากมาย เป็นระยะเวลานาน คนจะพูด่าที่เขาเป็นอย่างนี้ได้ เพราะคุณมีความสำคัญยิงกว่าชีวิต สุดท้ายแล้วเมื่อเป็นผู้นำ เราต้องถามตัวเองว่าอยู่ระดับไหน

ข้อมูลจากฝ่าย ประชาสัมพันธ์
วันที่ 05/08/2005