สรรพสิ่งเกิดขึ้นเอง หรือมีผู้สร้าง
เรื่องความเป็นมาของโลก และจักรวาลนั้น เป็นปัญหาที่มนุษย์ทั่วโลกพากันขบคิดมานานตั้งแต่โบราณ และความคิดนี้ได้แตกออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ พวกที่มีความคิดว่า ” โลกนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ” และอีกพวกหนึ่งที่เชื่อว่า ” โลกนี้มีผู้สร้าง “
นักปราชญ์ผู้โด่งดังกล่าวว่า ” มนุษย์ที่เกิดมาต่างๆ สงสัยกันมานานแล้วว่า ชีวิตนั้นเริ่มต้นที่ไหน มีความเป็นมาอย่างไร บ้างได้กล่าวว่า ” แต่เบื้องต้นนั้น มีแต่เซลล์เดียว ” หรือความรู้ทางชีววิทยาก็ไม่มีให้คำตอบที่แท้จริงว่า “เซลล์ ๆ เดียวนั้นมาจากไหน เพราะหลักวิทยาศาสตร์นั้น ” ชีวิตต้องอุบัติมาจากชีวิต “
ด.ร. เออร์เบริ์ต นิทเซล อดีตผู้อำนวยการของศูนย์คำนวญทางโคจรยานอวกาศ “กอดดาด ” ศูนย์การบินอวกาศนาซ่า ได้เขียนไว้ว่า “ในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาตร์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องด้านอวกาศ มีทัศนคติเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลแตกต่างไปจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อน ๆ อย่างมากมาย การสำรวจสุริยจักรวาลโดยใช้ยานอวกาศได้เปิดเผยให้มนุษย์รู้ถึงความสลับซับช้อนที่ลงตัวอย่างมีระเบียบของกลุ่มดาว ” แกแลคซี่ ” อีกทังกลุ่มก๊าซที่ห่อหุ้มโลกเรานี้ ด้วยเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องด้านอวกาศ จึงไม่สามารถรับทฤษฎีเก่า ๆ ที่กล่าวว่าสุริยจักรวาลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้อีกต่อไป และไม่ยอมรับว่า ความยุ่งยากอันซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์ และความลงตัวอย่างเหมาะเจาะนี้เกิดขึ้นเอง … แน่นอนต้องมีการสร้าง
ใครเป็นผู้สร้าง….
คำตอบมีอยู่ในหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งของโลก นั่นคือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ ในเล่มแรก บทแรก ปฐม.1:1 ได้กล่าวว่า ” ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตรสร้างฟ้า และดิน และใน ฮบ. 11 : 1 กล่าวว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฎให้เห็น ”
นอกจากนั้นข้อความที่พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวเกี่ยวข้องกับโลกและจักรวาล ยังตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งค้นพบภายหลังอย่างอัศจรรย์ สมดังคำกล่าวของพระคัมภีร์ที่ว่า “สิ่งใดที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เขาใช้ชื่อเรียกสิ่งนั้นมานานแล้ว และก็ทราบกันแล้วว่า มนุษย์ คืออะไร และเขาไม่อาจได้เถียงกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์เดชกว่าตนได้ (ปญจ. 6:11 )และกล่าวต่อไปว่า “มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระภารกิจที่บังเกิดอยู่ใต้ดวงอาทิตย์หาได้ไม่ เพราะว่ามนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบได้ไม่ เออยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใดนึกเอาว่าจะเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ ” ( ปญจ. 8 : 17) พระเจ้าตรัสว่า ” เจ้าไม่ทราบทางลมว่าไปทางไหน และกระดูกมีขึ้นในมดลูกของหญิงที่มีครรภ์ได้อย่างไร ฉันใดเจ้าก็จะไม่ทราบถึงกิจการของพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัดฉันนั้น ” ( ปญจ. 11: 9)
ความสมดุลในธรรมชาติ
ความสมดุลย์ของน้ำ
อสย. 40: 12 ” พระองค์ทรงตวงน้ำด้วยอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ ” ไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป นักวิทยศาสตร์บอกเราว่า ” น้ำที่มีในโลกไม่มากเกินไปหรือน้อยเกิดไปเพียงพอแก่การคงอยู่ของโลกพอดี ถ้ามากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเหลืออยู่เลย ”
ความสมดุลย์ของท้องฟ้า
อสย. 40 :12 ” ทรงวัดฟ้าสวรรค์ด้วยคืบเดียว ” พระธรรมข้อนี้สอนว่า พระเจ้าทรงวัดก่อนที่จะสร้างบรรยากาศ ถ้าบรรยากาศต่ำกว่านี้ เราจะหายใจไม่สะดวก แต่ถ้าสูงกว่านี้เราจะอึดอัด และถ้าดวงอาทิตย์ใกล้กว่านี้ทุกสิ่งจะถูกเผาผลาญสิ้น แต่ถ้าไกลกว่านี้สิ่งมีชีวิตจะพากันแข็งตาย
ความสมดุลย์ของผงคลีของแผ่นดิน
” บรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังเดียว ” อสย. 41: 12 ดร.วาลเลช ได้กล่าวไว้ว่าผงคลี หรือฝุ่นละอองนี้มีทั้งประโยชน์และโทษ เพราะถ้ามากเกินไปมนุษย์และสัตว์จะหายใจไม่ได้ แต่ถ้าน้อยเกินไปจะทำให้ท้องฟ้าปราศจากสีที่สวยสด ทำให้ฝนตกน้อย และพืชผักจะเกิดผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การหมุนเวียนของน้ำ ปญจ. 1: 7 “แม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำใหญ่ไหลไปสู่ที่ใด ก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก และใน สดด. 135: 7 กล่าวว่า “พระองค์ทรงกระทำให้เมฆลอยขึ้น…ทรงกระทำฟ้าแลบให้แก่ฝน และทรงนำลมออกมาจากคลังของพระองค์ ” นี่เป็นวิธีหมุนเวียนของน้ำที่สมดุลย์ที่สุด มันไหลลงทะเล แล้วระเหยเป็นเมฆย้อนกลับไปอีก
โลกและมนุษย์
ต่อไปนี้เป็นคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบภายหลัง
โลกกลม
อสย. 40 :22 ” พระองค์ทรงประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก ” เปรียบ สภษ.8: 27 ,ลก. 17 :18 -36 (คำว่าปริมณฑล แปลว่า “วงกลม” ) พระเจ้าทรงบอกเรื่องนี้แก่อิสยาห์ตั้งแต่ ก่อน ค.ศ. 712 ปีนับถึงเวลาปัจจุบันก็เป็นเวลา 2686 ปี และบอกแก่ซาโลมอนในราวปี ก่อนค.ศ.1015 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 2989 ปี ก่อนนักวิทยาศาสตร์คนใด ๆ ทั้งสิ้น
โลกลอยอยู่ในห้วงอวกาศ
โยบ 26 :7 “พระองค์ทรงแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า ” พระเจ้าทรงแจ้งความจริงให้โยบทราบความจริงเรื่องนี้ราวปี ก่อนค.ศ. 2000 ปี เป็นเวลา 3974 ปี นักวิทยาศสตร์ก็เพิ่งค้นพบความจริงในเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1475 ภายหลังการเปิดเผยของพระเจ้าเกือบ 2500 ปี
ขั้วโลกเหนือมีที่แห่งหนึ่งว่างเปล่าอยู่
โยบ 26 : 7 ” พระองค์ทรงกางฟ้ากางแผ่นดินเหนือออกไปยังที่เวิ้งว้าง ” นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบความจริงข้อนี้ในศตวรรษที่ 20 ว่า ขั้วโลกเหนือมีที่แห่งหนึ่งที่ว่างเปล่าอยู่ ปราศจากดาวแม้แต่ดวงเดียว แม้ว่ารอบ ๆ ช่องว่างนั้นจะเต็มไปด้วยดวงดาวก็ตาม ยิ่งกว่านั้นนักดาราศาสตร์ยังคงลงความเห็นว่า ดวงอาทิตย์พร้อมด้วยดวงดาวนพเคราะห์ซึ่งรวมทั้งโลกนี้กำลังโคจรมุ่งตรงไปยังทิศเหนือในอัตราความเร็ววินาทีละ 12 ไมล์ หรือ สี่ร้อยล้านไมล์ต่อปี
มนุษย์ทุกคนสืบสายโลหิตเดียวกัน
” พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตเดียวกัน ” ก.จ. 17: 26 นี่เป็นคำเทศนาของอัครทูตเปาโลที่กรุงเอเธนส์ ราว ค.ศ. 54 ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ยิ่งกว่าทฤษฎีว่าด้วยการวิวัฒนาการของมนุษย์ซึ่งตั้งขึ้นโดย ชาร์ล ดาวิน เพราะโลหิตของคนทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นผิวสีใด ๆ ทั้งสิ้น ล้วนแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันทั้งสิ้น แต่เลือดสัตว์อื่น ๆ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ถ้าเอาเลือดลิงมาเพิ่มให้มนุษย์จะเกิดปฎิกิริยาถึงตายทันที ในทำนองเดียวกันถ้าเอาเลือดมนุษย์ไปเพิ่มให้แก่ลิง หรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม ก็จะเกิดปฎิกิริยาในทำนองเดียวกัน เรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1831 หรือกว่าร้อยปี ชาร์ล ดาวิน ก็ยังไม่แจ่มแจ้งในเรื่องนี้
มนุษย์คือใคร
นักปราญช์ทั่ว ๆ ไป มักให้คำจำกัดความของมนุษย์ว่า ” มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ”
(คำว่าสัตว์ประเสริฐในที่นี้หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้) นักเคมีวิทยาได้กล่าวว่า ถ้าเอาร่างกายของมนุษย์มาแยกธาตุต่าง ๆออก และตีราคาด้วยเคมีแล้ว จะมีราคาประมาณ 20 บาทเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ และการคัดเลือกพันธุ์และวิวัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์ในที่สุด ทฤษฎีวัฒนาการนั้น เกิดจากการที่มนุษย์ได้ค้นคว้าหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเกิดของมนุษย์และธรรมชาติอันเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดส่งมีชีวิตอีกหลายชนิด และต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นสัตว์ และพืชนานาชนิด รวมทั้งมนุษย์ด้วย
ทฤษฎีวิวัฒนาการ
ในระยะแรก ชาร์ล ดาวิล เพียงเสนอแนวคิดที่เกิดขึ้นจากการทดลองของเขาเท่านั้น และเขาเองก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าทฤษฏีของเขาจะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและจริงจังเช่นนี้ แต่คนส่วนมากก็พากันรับรองทฤษฏีนี้อย่างกว้างขวาง ทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน กล่าวว่า “มนุษย์เป็นผลแห่งการวิวัฒนาการขั้นสุดอดของสิ่งมีชีวิต มนุษย์ชั้นสูงมาจากมนุษย์ชั้นต่ำ และมนุษย์ชั้นต่ำมาจากสัตว์ชั้นสูง คือ ลิงชนิดหนึ่ง อาจเป็นคิงคอง หรือแซมแปนฃีก็ได้ และลิงนั้นวัฒนาการมาจากสัตว์ชั้นต่ำกว่านั้นอีก ได้แก่ กบ คางคก และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังก็มาจากสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์หลายเซลก็มาจากสัตว์เซลเดียวนั้นก็เกิดมาจากธรรมชาติ คือเกิดขึ้นเอง ซึ่งทฤษฎีนี้มีข้อพกพร่องมากมาย
ข้อบกพร่องประการแรก – ชาร์ล ดาวินไม่สามารถอธิบายได้ว่าเซลล์ของชีวิตแรกนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเชื้อแห่งชีวิตอยู่ก่อน
ข้อบกพร่องประการที่สอง – ตามทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าสัตว์ชั้นต่ำวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นสัตว์ชั้นสูงนั้น ท่านศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม แพคสัน นักชีววิทยาเรื่องนามของโลกกล่าวว่า ” ไม่มีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าสัตว์ชนิดต่างๆ มีอำนาจเพิ่มขึ้น มีแต่ว่าสัตว์หลาย ๆ ชนิดกำลังหมดอำนาจไป”
ข้อบกพร่องประการที่สาม – ชาร์ล ดาวินไม่สามารถชี้แจงได้ว่า ถ้าทฤษฎีของเขาจริงแล้ว ทำไม ทุกวันนี้ การวิวัฒนาการของเขาจึงยุติไป เพราะถ้าทฤษฎีของเขาเป็นจริงแล้ว ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติก็จะบันทึกไว้ว่า ได้เห็นลิงใหญ่เดินออกจากป่ามาเป็นมนุษย์บ้าง ท่านศาสตราจารย์เวอร์ไซ นักเคมีได้กล่าวว่า “ในระหว่าง 5000 ปี ที่ผ่านมาแล้วนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในมนุษย์เลย” นั่นแสดงว่านับแต่ประวัติศาสตร์ถูกบันทึกลง ไม่มีสักตอนเดียวที่แสดงให้เห็นว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์เลย
ข้อบกพร่องประการที่สี่ ดร.ออสติน คลาร์ก ได้กล่าวว่า “ไม่ว่าเราจะศึกษาย้อนหลังไปไกลสักเท่าใด เราจะไม่พบว่ามีสัตว์ชนิดใดที่มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างสัตว์สองชนิด จริงอยู่อาจจะมีสัตว์ 2 ขนิดผสมพันธ์กันได้ แต่ลูกที่เกิดมาเป็นหมันทุกตัว สัตว์พันธุ์ใหม่จึงไม่อาจเกิดขึ้นโดยวิธีนี้ การผสมพันธุ์อาจจะทำให้ลักษณะเดิมผิดแปลกไปบ้าง แต่ถ้าเราปล่อยมันไว้ตามธรรมชาติของมันแล้ว ไม่ช้ามันจะค่อย ๆ เปลี่ยนกลับคืนลักษณะเดิมของมัน นั่นแสดงว่า ทุก ๆ ก้าวของการวิวัฒนาการมีลูกโซ่หนึ่งที่ขาดหายไป
มีความแตกต่างกันระหว่างสัตว์เดรฉานชั้นสูง และมนุษย์ชั้นต่ำ จริงอยู่มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์จำพวกลิง คือทั้งมนุษย์ และลิงมีกระดูก 200 ชิ้นที่ประกอบเป็นโครงร่างเหมือนกัน มีกล้ามเนื้อ300 มัด ทำหน้าที่เคลื่อนไหวเหมือนกัน มีขนชนิดเดียวกันคลุมร่างกาย มีต่อมน้ำนมสำหรับเลี้ยงทารกเหมือนกัน มีหัวใจ 4 ห้องเป็นศูนย์กลางในการสูบฉีดโลหิต มีฟัน 32 ซี่ มีเซลล์ประสาทจากสมองเหมือนกัน มีอวัยวะสืบพันธุ์เหมมือนกัน แต่ก็มีสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ความจุของสมองคนกับลิงนั้น ลิงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุดจะมีสอง 34 ลบ.นิ้ว แต่คนมีความเจริญน้อยที่สุดก็ยังมีความจุของสมองถึง 64 ล.บ.นิ้ว คือเกือบ 2 เท่า เนื้อของมนุษย์ก็แตกต่างกับสัตว์ทุกชนิด โครงสร้างของเลือดของมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ก็แตกต่างกันอย่างมากมาย นอกจากนั้นมนุษย์ยังมีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่สัตว์อื่น ๆ ไม่มี เช่น ความสามารถในความรับผิดชอบในการแบ่งแยกความดี ความชั่ว หรือในการหาเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ทฤษฎีวิวัฒนาการประกอบขึ้นด้วยข้อสมมติประมาณสองร้อยกว่าข้อ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่รับข้อสมมติเหล่านี้ และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ส่วนมากไม่ยอมรับรับรองทฤษฎีนี้
การทรงสร้างมนุษย์
จากการศึกษาของเรา ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ว่า มนุษย์ คืออะไร และเกิดมาจากไหน เป็นปัญหาที่ไม่มีมนุษย์คนใดอธิบายให้กระจ่างได้ ทำให้เราต้องหันมาหาคำตอบจากหนังสือเก่าแก่ของโลกเล่มหนึ่ง คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระคัมภีร์ได้ให้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นบุคคลที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ และเกิดมจากการทรงสร้างของพระเจ้า เป็นยอดแห่งพระหัตถกิจของพระเจ้า
ข้อความเกี่ยวกับการทรงสร้างนั้น ปรากฎใน ปฐก. 1: 2,5 สองข้อแรกที่เราพิจารณาก็คือ ปฐก.1: 26,27 ที่ว่า “แล้วพระเจ้าตรัสว่า ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่าง ๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์ ตามฉายาของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชาย และหญิง
ใน ปฐก. 2: 7 ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์ว่า “พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต และในปฐก. 2: 18-24 พระเจ้าตรัสว่า ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น ข้อ 18 “แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายคนนั้นหลับสนิทและ ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมาแล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าทรงชักออกมาจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง และทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า นี่แหละกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเราจะต้องเรียกว่า “หญิง” เพราะว่าหญิงนี้มาจากชาย
ปฐก. 1: 26 , 27 “ให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา …พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น
พระฉายาของพระเจ้าหมายความว่าอะไร จากการเปรียบเทียบ อ.ฟ.4 :24 ได้กล่าวถึงแบบพระฉายาว่า “ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้าในความชอบธรรม และบริสุทธิ์ที่แท้จริง
ในปฐก. 7: 29 ได้กล่าวไว้ว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าพบแต่ความนี้ต่างหาก คือ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม แต่มนุษย์ทั้งหลายได้ค้นคว้าอุบายต่างๆ ออกมา
ปฐก. 2: 19- 20 และปฐก.11: 6 จากการตั้งชื่อสัตว์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และจากคำวิจารณ์ของพระเจ้าที่ว่า “ดูเถิดคนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นในสิ่งที่เขาจะทำ และเขาจะทำอะไร ก็ทำได้ทั้งนั้น “แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามนุษย์แรกมีสติปัญาสูงส่งมาก
พระคัมภีร์เรียกมนุษย์คู่แรกว่า อาดัมคนเดิม 1 ทธ.15 :44 ,45 เรียกพระคริสต์ว่า อาดัมผู้ที่จะตามมาภายหลัง เท่ากับเป็นการบอกใบ้ว่า ลักษณะดั้งเดิมของมนุษย์ คือ ลักษณะที่เห็นได้ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง เพราะพระองค์เองก็ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าผู้ไม่ประจักษ์แก่ตาเช่นเดียวกัน
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรกให้มีความชอบธรรม และบริสุทธ์อย่างแท้จริง มีความเที่ยงธรรม มีอำนาจ มีสติปัญญาสูง มีลักษณะของพระเจ้าครบถ้วนเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่มนุษย์ทำความผิดบาป ตั้งแต่เวลานั้นมาส่วนประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ คือ วิญญาณ จิตใจ และร่างกายก็เป็นมลทินไปหมด พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเห็นความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ปฐก. 6: 5 และในอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “เค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา ปฐก. 8 :21
ท่าน อ. เปาโลกล่าวถึงลักษณะของมนุษย์ในยุคปัจจุบันว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนที่กระทำดี ไม่มีเลย ลำคอของเขาคือหลุมศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งสาปและคำเผ็ดร้อน เท้าของเขาไวในการทำให้นองเลือด ในทางเดินของเขามีความพินาศ และความทุกข์ และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย รม. 3:10-18
มีสิ่งหนึ่งที่เราเว้นเสียไม่ได้ คือ ฐานะเดิมของมนุษย์แรกเมื่อทรงสร้างนั้น ท่านผู้เขียนสดุดีได้บอกเราว่า “พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าหน่อยเดียว และสงวนศักดิ์ศรีและเกียรติให้แก่เขา” สดุดี 4: 5 นับเป็นเรื่องน่าสลดใจที่มนุษย์ตกต่ำลงถึงเพียงนี้ ทั้ง ๆที่ฐานะแรกสูงส่งมาก
มนุษย์ถูกสร้างให้ประกอบขึ้นด้วย 3 สิ่ง ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ
(1 ธส. 5: 23 ) และส่วนประกอบกันทั้ง 3 นี้ ทำให้มนุษย์กลายเป็นบุคคล แต่การแยกทั้ง 3 ส่วนนี้ออกจากกันไม่ใช่ของง่ายเลย พระคัมภีร์เรียกร่างกายของมนุษย์ว่าเป็นเรือนดิน 2 คร. 5.1 เป็นตัวตนภายนอกมีสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น (ปาก) กายอันได้แก่มือและเท้าเป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของจิตใจ และร่างกาย เรียกว่าตัวตนของมนุษย์
ส่วนที่ 2 ของมนุษย์ เรียกว่า จิตใจ เป็นที่ตั้งของอารมณ์ ความรู้สึกชอบไม่ชอบ
และเป็นที่มาของความตั้งใจ 2 คร.4: 4 ในผู้ที่ยังไม่เชื่อ จิตใจของเขายังมืดบอดอยู่ จนกว่าเมื่อไรแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐจะส่องเข้ามาในใจเขา ตาของเขาจะสว่างขึ้น 2 คร.4: 6
นอกจากนั้นจิตใจยังเป็นผู้ให้ความคิด มันเป็นตัวตนภายในของมนุษย์ เป็นผู้ให้ตัวตนที่แท้จริงแก่มนุษย์ (มก.7 :20 ,21 มธ. 12: 14-35) มนุษย์จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ใจของมนุษย์คนนั้นจะนำไป
ส่วนที่3 เรียกว่า ” วิญญาณจิต ” เป็นส่วนหนึ่งที่นำให้มนุษย์รู้สึกอยากนมัสการพระเจ้า อยากสัมพันธ์กับพระเจ้า (ยน. 4: 24) เป็นส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ แม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้ว เป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์โดยสิ้นเชิง นับเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นส่งที่พระเจ้าทรงห่วงใย
บทความโดย ศจ.เจียมเม้ง แซ่เล้า
หมายเหตุ : บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1974 ระยะเวลาปัจจุบันที่บทความนี้กล่าวถึงจึงเท่ากับปีที่เขียน