ผมมาเชื่อพระเจ้าด้วยการเป็นพยานของพี่น้องภายในบ้าน ก่อนหน้านี้น้องชายของผมมาโบสถ์ และตั้งใจว่าจะมาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะไปบอกเพื่อนๆ ที่เชื่อพระเจ้าในโบสถ์ว่า ” พวกคริสเตียนเป็นพวกที่ถูกล้างสมอง อย่าไปเชื่อ ” …แต่ในวันนั้นกลับเป็นวันที่เขาตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ต่อมาพีน้องในบ้านที่เชื่อพระเจ้าแล้วต่างมาเล่าเรื่องพระเจ้าให้ผมฟัง ผมเองนึกต่อต้านอยู่ในใจ และทนรำคาญเกือบไม่ไหว แทบจะตีกันตาย เมื่อก่อนเรานอนมุ้งเดียวกัน 5 คน นอนกันไปก็ทะเลาะกันไปเพราะเรื่องพระเจ้าที่พี่ๆ น้องๆ เล่าให้ผมฟังนี่แหละ ผมเป็นพี่คนโต หาเลี้ยงน้องๆ ตอนนั้นผมขู่เขาว่าจะไล่พวกเขาออกจากบ้าน ให้ไปอยู่โบสถ์กันให้หมด … แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราก็มาเชื่อพระเจ้ากันหมดแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคยปฎิเสธเรา แม้เราจะเคยปฎิเสธพระองค์

ต่อมาครอบครัวของเราก็แยกย้ายออกไปตั้งครอบครัวใหม่ ผมเองก็แต่งงานและมีลูกชาย 2 คน คนแรกชื่อตะลันต์ ป่วยเป็นมะเร็งในสมอง เพิ่งมาแสดงอาการก็เมื่อทรุดหนักแล้ว ตลอดเวลาที่ลูกป่วยเราก็เห็นพระคุณ และความรักของพระเจ้าเสมอมา และลูกชายผมก็รักพระเจ้ามาก ให้นำมาโบสถ์เสมอแม้ต้องนั่งรถเข็น และ ยืนหยัดรับใช้พระเจ้าจนนาทีสุดท้าย เมื่อคราวโบสถ์ฉลอง 30 ปี คริสตจักรใจสมาน ลูกผมซึ่งต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ทั้งต้องนั่งในรถเข็น ก็ได้ถวายตัวเป็นนักร้องในงานนี้ และอยู่ซ้อมเพลงสม่ำเสมอ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งเกินกำลังที่เขาจะสามารถทำได้ แต่เขาก็ทำด้วยความชื่นชมยินดี และในวันงานแม้จะได้รับอนุญาติให้นั่งรถเข็นก็ตาม แต่เขาได้อธิษฐานกับพระเจ้าขอให้เขาสามารถยืนร้องเพลงถวายพระองค์ได้ … โดยปกติแล้วเขา จะยืนได้ไม่เกิน 5 นาทีแต่วันนั้นผมเห็นเขายืนร้องเพลงถวายพระเจ้าอย่างมีความสุข

เมื่อวาระสุดท้ายมาถึงผมสังเกตุเห็นเขาเหนื่อยผิดสังเกตุ แต่ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ ผมบอกลูกว่า ” ถ้าเหนื่อยมากก็ไปอยู่กับพระเจ้าเถอะลูก ” แล้วเขาก็จากไปอย่างสงบ การสูญเสียลูกอาจจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้เป็นพ่อ- แม่ แต่ผมรู้ว่าลูกจากไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งครอบครัวของเราจะได้พบกันอีก เพราะพระเจ้าทรงกล่าวว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์… ราตรีสวัสดิ์ลูกรัก ..

คุณธเนศ ไตรศักดิ์พล