สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นคำพยานของผมเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่า พระเจ้าทรงรักและเมตตาต่อผมมาก เกินกว่าที่ผมซึ่งเป็นมนุษย์จะเข้าใจถึงความรักของพระองค์ได้ ผมเองมีความปรารถนา อยากจะเรียนให้สูงสุดถึงขั้นปริญญาเอก แต่ด้วยต้องรับราชการและมีครอบครัวแล้ว ถ้าต้องหาเงินมาเรียนเองคงลำบากมาก และครอบครัวจะเดือดร้อน ลูกก็ยังเล็ก ต้องใช้เงิน ผมจึงพยายามสอบทุนรัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่า สอบผ่าน แต่ก็มีอันเป็นไป ไม่ได้สักทุน บางทุนก็ยกเลิกก่อน บางทุนก็หายเงียบไป ทำให้ผมรู้สึกท้อแท้มาก ในใจก็ยังมีความต้องการจะเรียนต่อมาก ผมได้คิดในใจว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ช่วยผมให้เรียนต่อหน่อย (เมื่อนึกย้อนแล้วก็ให้รู้สึกละอายใจมาก ที่ตัวผมเองช่างกระด้างและหยาบกร้านต่อพระองค์เหลือเกิน) เพราะพระองค์ทรงรักผมถึงแม้ผมจะไม่ได้อธิษฐานด้วยความเชื่อในขณะนั้น แต่พระคุณของพระเจ้าทำให้ผมทั้งประทับใจและตื้นตันใจที่จะถวายพระเกียรติ โดยลำดับเรื่องดังนี้

เมื่อปลายปี 2539 ผมก็สมัครทุนเรียนต่ออีกแต่จะเป็นการสมัครได้ครั้งสุดท้ายของผม เนื่องจากผมอายุ 35 ย่าง 36 แต่ยังไม่เต็มเดือน ในทุนระบุว่าอายุไม่เกิน 36ปี ถ้าพลาดครั้งนี้ก็หมดสิทธิ หลังจากส่งใบสมัครไป ทางแหล่งทุนก็ให้ไปสอบสัมภาษณ์ ผมก็ไป แต่ผมไปผิดตึก แหล่งทุนย้ายตึกไม่ได้แจ้งให้ทราบ ผมมารู้อีกที เขาสอบสัมภาษณ์กันไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังจะกลับ ผมก็ขอร้องและขอสอบเป็นคนสุดท้าย เจ้าหน้าที่ก็ยอม ตอนนั้นท่านลองนึกดูว่าผมจะมีความหวังแค่ไหน หลังจากสอบแล้วผมเองไม่คิดว่าจะได้ เพราะคนที่ถูกคัดมาสอบ มาจากที่ต่างๆของประเทศประมาณ 15 คน แต่ละคนก็มีความสามารถและพวกเขายังไม่ผิดเวลาสอบสัมภาษณ์อย่างผม

ขอบพระคุณพระเจ้า….เมื่อนึกถึงตอนนั้นทีไร ผมเห็นถึงความเมตตาของพระองค์ ผมเป็นคนเดียวที่ได้รับอนุมัติจากทุนเซียร์ก้า ให้เรียนในประเทศไทย มหัศจรรย์จริงๆ ผมเลือกเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่การเรียนต่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากข้อจำกัดของคณะและระเบียบของมหาวิทยาลัยไม่ได้เอื้อให้ผมจะทำได้อย่างง่าย เพราะผมเป็นคนแรกของการศึกษาในแบบโครงการนานาชาติของสาขานี้ กล่าวคือต้องมีอาจารย์ที่จบปริญญาเอกในคณะนี้ ประกอบกับต้องตอบรายละเอียดให้แหล่งทุนทราบ รวมทั้งต้องมีหนังสือยืนยันจากมหาวิทยาลัยในเวลาที่จำกัด ผมมืดแปดด้าน และคิดว่าคงหมดโอกาสที่จะได้เรียนแน่แล้ว ภรรยาผมได้พูดหนุนใจผมว่า พระเจ้าจัดสรรทุนนี้ให้กับผมและจะต้องได้เรียน

ตอนนั้นผมยอมรับว่าผมเองยังมีความเชื่อน้อย แต่พระองค์เป็นพระยโฮวายิเรห์ พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมจริงๆ ได้ทำให้ผมสามารถติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษาได้ทัน และท้ายที่สุดผมก็ได้เรียนจริงๆ ดังคำหนุนใจของภรรยา จึงขอเป็นพยานถวายพระเกียรติพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมาทันเวลาเสมอ

ตลอดเวลาของการศึกษาผมก็ประสบปัญหาทั้งจากตัวเอง และการงาน จนเวลาผ่านไป 3ปี ผมก็ยังไม่จบ แหล่งทุนก็ไม่ให้เงินแล้ว ผมก็ท้อแท้มาก ก็ได้ภรรยาหนุนใจและอธิษฐานเผื่อ ช่วยเหลือในทุกด้าน ผมรู้สึกดีขึ้นแต่ใจยังคงแข็งกระด้างต่อพระเจ้า ในเวลานั้นผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องเรียน มุ่งทำงาน จนภรรยาเตือนหลายครั้ง ผมไม่ฟัง ผมถูกย้ายงานแบบตั้งตัวไม่ทัน สับสน งง ผิดหวัง และโกรธผู้บังคับบัญชามากๆ ผมเกือบไปหานักการเมืองที่รู้จักแล้วใช้วิธีวิ่งเต้นตามแบบชาวโลก แต่ภรรยาได้พูดหนุนใจให้เรามาทบทวนดูว่าทำไมเราถึงถูกย้าย และถ้าการย้ายในครั้งนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าล่ะคุณจะยอมหรือไม่ ผมก็มาคิดทบทวนตามคำที่ภรรยาบอกแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ (ตอนหลังผมเข้าใจแล้วว่าพระองค์ถอดรูปเคารพเรื่องงานออกจากผมเพื่อพระพรที่เต็มล้นจะเข้ามาสู่ชีวิตผมแทน) จากผลของการย้ายงานทำให้ผมเองเริ่มหันมาจัดการเรื่องเรียนต่อ เทอมนี้เป็นเทอมที่ 10 ซึ่งถ้าไม่จบในเทอมนี้ ก็หมดเวลาเรียนของผม ต้องสูญเสียเงินและเวลาไปเปล่าประโยชน์ อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะเกษียณ ผมจะทำอย่างไร
ภรรยาได้พูดหนุนใจว่ามนุษย์ทำไม่ได้ แต่พระเจ้าทำได้ ผมก็ถามพระเจ้าจะช่วยผมหรือ ภรรยาก็ตอบว่าพระองค์ช่วยคุณแน่นอน ถ้าคุณต้องการพระองค์อย่างแท้จริง

ผมจึงตัดสินใจยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2002 ผมได้เดินออกไปรับเชื่อต่อหน้าที่ประชุม ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า วันนั้นผมมีความสงบในชีวิตมาก รู้ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์คือคนบาป เราเองก็บาป เราได้รับการอภัยบาปผ่านความตายขององค์พระเยซูคริสต์ หลังจากรับเชื่อแล้วผมก็ตั้งใจว่าผมจะมุ่งมั่นที่จะเป็นคริสเตียนอย่างสมบูรณ์ก่อนผมจบการศึกษา แต่ขณะนั้นทั้งวิทยานิพนธ์ การสอบต่างๆยังทำไปไม่ถึงครึ่ง ผมก็มุ่งมั่นต่อโดยมีภรรยาช่วยอย่างเต็มที่ ผมรู้สึกว่าเธอเป็นพระพรในชีวิตผมมากกว่าสิ่งอื่นใด

ขอบคุณพระเจ้า ผมผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆที่มีได้อย่างเหลือเชื่อและมหัศจรรย์ ทุกอย่างถ้าดูในสายตามนุษย์เหมือนจะไม่ทัน แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าทุกอย่างก็ทันตามกำหนดเวลา ผมได้สอบในวันสุดท้ายของที่กำหนดในระเบียบการศึกษาและเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของอาจารย์ที่ปรึกษา คือวันที่ 30 กันยายน 2002 ผมสอบผ่านและจบได้ทันเวลา และที่ผมดีใจที่สุดก็คือได้รับบัพติศมาก่อนจบ 15 วัน

ขอบพระคุณพระเจ้า ผมระลึกถึงพระคุณของพระองค์ตั้งแต่ได้รับฟังข่าวประเสริฐจากภรรยา ได้ทุนเรียนจนกระทั่งจบ หลังจากที่ผมจบการศึกษา พระองค์ได้กู้หน้าที่ การงานกลับคืนมาโดยได้รับตำแหน่งที่สูงและดีกว่าเดิมมาก หลายคนสงสัยว่าผมไปวิ่งเต้นอย่างไร ผมได้แต่บอกว่าผมมีเพียงพระเจ้าเท่านั้น

การที่ผมได้พบกับความรัก ความห่วงใย การปกป้อง และการจัดเตรียมของพระเจ้าอย่างมหัศจรรย์ ทำให้ผมได้ยอมจำนนกับพระเจ้าอย่างสุดจิต สุดใจและได้มอบชีวิตของผมให้พระองค์ทรงนำ ผมไม่ความสงสัยใดใดกับพระองค์อีกต่อไป ชีวิตของผมเป็นพยานเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ที่ทรงมีต่อชีวิตของผม ทรงเมตตา เที่ยงธรรม และอ่อนโยนสุภาพต่อคนบาปที่ต่ำต้อยอย่างผม ทรงเลือกผมออกจากบาปและความตาย ให้ชีวิตนิรันดร์แก่ผมและครอบครัว ได้รับพระคุณซ้อนพระคุณอยู่เสมอ ผมขอยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์จริง และรับฟังคำอธิษฐานของมนุษย์ด้วยความเมตตา ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านคำพยานนี้ได้เชื่อมั่นและไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ขอกราบขอบพระคุณพระเจ้าในพระนามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

คุณทศพร มณีรัตน์