บันทึกคำพยาน 20 เม.ย. 10 (ก่อนเดินทาง)

เป้าหมาย ของการไปครั้งนี้
เยี่ยมเยียน คจ.ในประเทศลาว
ร่วมรับใช้กับ คจ.ท้องถิ่น เดินทางเข้าไปภาคกลางของประเทศเวียดนาม
หา connection ใหม่ ๆ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ต้นที่ได้พบกับ อ.มีชัย ศิษยาภิบาล คจ.กาฬสินธ์ และ อ. แว่น ศิษยาภิบาลศูนย์ประกาศบ้านดอนชี ในงานประชุมสัมมนาของคณะ พสท.ที่ คจ.ใจสมานรามฯ 68 พระเจ้าได้นำให้รู้จักกับอาจารย์ทั้งสองคนซึ่งเคยรับใช้พระเจ้ากับคนลาว ร่วมงานกับ พี่น้องชาวลาว อีกทั้งเคยเดินทางไป-กลับอยู่บ่อยๆ นอกจากนั้นรวมถึงคริสเตียนในประเทศเวียดนามด้วย แม้ทาง คจ. จะส่งผู้รับใช้คนไทย ไปช่วยงานที่ คจ.ในเวียดนามแล้ว แต่อาจารย์บอกว่า ท่านรู้จักเราตั้งแต่เรียนพระคัมภีร์ที่เพ็นเทคอส และรู้ว่ามีภาระใจที่เวียดนาม จึงมาคุยด้วย และชวนว่าถ้าสนใจจะไปเยียม คจ.ที่เวียดนาม (ภาคกลาง) ก็เดินทางไปพร้อมกัน ซึ่งท่านจะมีเดินทางไปเยี่ยมที่เวียดนาม วันที่ 21 เม.ย. นี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐาน จึงตกลงใจเดินทางไปด้วย

หลังจากนั้นกลับมาบ้านอธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้ได้ไปเวียดนาม ทิปนี้เถอะ เพราะอาจเป็นช่องทางใหม่ connection ใหม่ๆ ที่เราสามารถเข้าไปรับใช้พระเจ้าที่เวียดนามได้ แต่กังวลอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องแรก ผู้นำของเรา จะเห็นด้วยกับเราหรือไม่ จะให้เราไปหรือเปล่า ถ้าเขาบอกว่ารอก่อน เราจะทำยังไง เพราะอยากไปมาก และคิดว่า พระเจ้าเปิดประตูให้แล้ว หรือเราจะดื้อไปเอง…. ขอพระเจ้าช่วย รุ่งขึ้นก็ไปบอกผู้นำ ขอบคุณพระเจ้าผู้นำเห็นด้วยและหนุนใจว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่พระเจ้านำก็เป็นได้

เมื่อตกลงใจว่าจะไปเวียดนามกับ อ.มีชัย ก็มาเช็คพาสปอร์ตดู ปรากฏว่าพาสปอร์ตของเราหมดอายุ 18 เม.ย. 10 ถ้านับจริงๆ ก็จะไม่ถึง 6 เดือน ขาดไปแค่ สองสามวัน ก็รู้สึกกังวลว่าจะทำอย่างไรดี โทรไปบอก อ.มีชัย ท่านก็บอกว่าจะหาทางช่วย

รุ่งขึ้นเช้าวันจันทร์ อ.มีชัย โทรมาถามว่าเตรียมตัวพร้อมหรือไม่ พาสปอร์ตหมดอายุ ต้องรีบไปทำใหม่ ภายใน 3 วันก็ได้เล่มใหม่แล้ว จึงรีบไปดำเนินการทันที ก็ได้เล่มใหม่ วันที่ 21 เม.ย.10 ขอบคุณพระเจ้า

ต่อจากนั้นก็ เริ่มคิด …เอ้า แล้วจะทำหยังไงดี เพราะต้องเดินทางวันอังคาร 20 เม.ย. เย็น ๆ แต่ พาสปอร์ตจะได้รับวันพุธ เริ่มกังวล (อีกแล้ว) แต่ในใจก็อธิษฐานกับพระเจ้า…. โทรไปหา อ.มีชัยอีกครั้ง อาจารย์ตอบมาว่า เลื่อนการเดินทางเป็นวันพุธเย็นๆ เพราะวันอังคารไม่สะดวก และวันพุธนั้นเราจะเดินทางตรงไปยังเวียดนาม ขอบคุณพระเจ้ามั๊ก ๆ ในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และการจัดเตรียมที่พอเหมาะพอดี ไม่สาย ทันเวลาเสมอจริงๆ

เรื่องต่อมาที่กังวลใจ คือ แล้วเราจะไปทำอะไรที่เวียดนามได้บ้าง ?? เมื่อเช้า เฝ้าเดี่ยวใน 2 คร.4:1-15 เรื่องของมีค่าในภาชนะดิน อ.เปาโลเขียนถึง คจ.ในเมืองโครินธ์ ว่า ของมีค่า คือ ข่าวประเสริฐ และ ความรู้ถึงพระเจ้า ส่วนภาชนะดิน คือ ตัวของ อ.เปาโล เอง ที่พระเจ้าใช้เป็นภาชนะ ให้นำข่าวประเสริฐไปบอกคนในโลกนี้ และสอนให้พวกเขารู้ถึงพระเจ้าผู้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย มีชัยชนะเหนือความผิดบาป และเหนือความตาย เพื่อผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์นั้นจะมีชีวิตรอดจากบึงไฟ และ การพิพากษา…. ขอบคุณพระเจ้าที่พระคำตอนนี้ทำให้ได้รับคำตอบจากพระองค์แล้วว่าเราจะไปทำอะไรในเวียดนาม เราจะนำข่าวประเสริฐไปบอกกับคนเวียดนาม และ จะไปสอนเขาให้รู้จักพระเจ้า เข้าใจพระคำพระเจ้า …. และทุกอย่างที่พระเจ้าจะนำให้เราทำ เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าในเวียดนาม เหมือนของมีค่าที่พระเจ้ามอบไว้กับเรา ซึ่งเป็นภาชนะดินที่พระเจ้าใช้ได้

พุธ 21/4/2010
ออกเดินทาง จากหมอชิต รถออกเวลา สองทุ่มครึ่ง รถ VIPถึง บขส.มุกดาหาร เวลา 6.30 ถึงสถานี ขนส่ง

พฤหัส 22/4/2010

อ.แว่นโทรมา ให้ข้ามด่าน มุกดาหาร ด้วยตนเอง ที่นี่จะมีรถตรงเข้ามาถึง บขส. สะวันณะเขต แต่ต้องแวะ stamp พาสปอร์ตที่ด่านไทย (departure) รถจะแวะไปรับ เพื่อขับต่อไปที่ด่านสะวันณะ (ลาว) stamp arrival ลาว อีกครั้ง และรถ ก็แวะรับ เข้าไปส่งถึง บขส. สะวันณะเขต ทำให้สะดวกมากขึ้น

แรกๆ ก็ใจตุ๋มๆ ตั๋มๆ กังวลอยู่เหมือนกัน แต่ที่ บขส.มุกดาหาร ได้รู้จักชายหนุ่มชาวลาวคนหนึ่ง “เดือน” กำลังจะข้ามไปที่ลาวเหมือนกัน เขามาทำงานที่ กรุงเทพ แถวๆ บางแค วันนี้ กลับมาต่ออายุพาสปอร์ต และจะกลับ กรุงเทพเลย จึงเป็นโอกาสที่จะได้ข้ามไปฝั่งลาวด้วยกัน ขอบคุณพระเจ้าที่จัดเตรียมเพื่อนร่วมทางในครั้ง

ที่บขส. สะวันณะเขต พบกับอาจารย์ แอร์ (ชาวลาว) ขับมอเตอร์ไซต์มารับ เพื่อ พาไปพบ ทีม อ.มีชัย , อ.แว่น ที่สนามฟุตบอล ในเมือง สะวันณะเขต ขอบคุณพระเจ้าไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อากาศร้อนมาก

ที่สนามฟุตบอล ได้รู้พบ และรู้จักกับผู้นำหลายคน ได้พูดคุยกันไป ระหว่างที่นักฟุตบอลก็แข่งกันไป ท่ามกลาง อากาศที่ร้อนมาก ได้รู้จัก ผู้นำคริสเตียนชาวลาว ซึ่งได้เล่าถึงคริสเตียนที่ยังถูกข่มเหง ถูกต่อต้านจากชาวบ้าน ตอนนี้ ลูกๆ เข้าโรงเรียนไม่ได้เพราะ เป็นคริสเตียน เขาบอกว่า “ไอ้พวกคริสเตียน ไม่ต้องเรียนหนังสือหรอก” ไปหาหมอ ก็ไม่ได้ เพราะ เป็น คต.

ศุกร์ 23/4/2010

ตื่นเช้า นั่งมอเตอร์ไซต์จากที่พัก มาที่โบสถ์มีโอกาสแวะไปดู โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ โบสถ์ พบว่า เด็กๆ มาเรียนเช้ามาก หกโมงเช้าก็มาเรียนกันแล้ว เจ็ดโมง เริ่มเข้าชั้นเรียน มีระบบการศึกษาภาคบังคับ ชั้นเรียนประถม ป.1 – ป.3 เท่านั้น คนที่เรียนสูง จนถึงระดับ มัธยม (ประมาณ ม.3) ก็สามารถเข้าเรียนพยาบาล อีก 3ปีจบ ก็สามารถเป็นพยาบาลได้เลย ที่นี่ถ้าใครได้เป็น พยาบาล เป็นครู ก็ถือว่าหรูแล้ว

ที่โรงเรียนนี้ มี 3 ห้อง ป.1 ถึง ป. 3 มีเด็ก ประมาณ 50 คน ห้องเรียนเล็กๆ อุปกรณ์ มีแค่โต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำ , ชอล์ค แค่นี้จริงๆ ห้องน้ำไม่มี เด็กๆ ต้องเดินไปเข้าห้องส้วมที่โบสถ์ หรือไม่ก็เข้าไปที่ป่าข้างๆ โรงเรียน มีครู 3คน ครูจะได้เงินเดือน 2 พันบาท ต่อเดือน

ที่ค่าย นักฟุตบอล ได้เห็น การทำงานของทีมงาน อ.สวรรค์ที่ เทศนาแบบง่ายๆ ใช้ศาสนศาสตร์แบบลูกทุ่ง กับเด็กๆ ที่มาเข้าค่าย พูดง่ายๆ แต่เข้าใจได้ดี ดีมากด้วย โครงการอิมมานูเอลสนับสนุนค่ายครั้งนี้ เด็กๆ กล้าแสดงออกดี น้องกระแต คอยแปลภาษาบลูให้ เพราะคนเวียดนามที่มาพูดภาษาบลู ถ้าพูดเวียดนาม จะไม่มีใครรู้เรื่องเลย ตัวอย่าง ฮุ่ง เป็นพยาน ด้วยภาษาบลู และสามารถะพูดภาษา ลาว ได้นิดหน่อย เราก็เลยต้องสื่อสารกับฮุ่ง ด้วยภาษาลาว แม้ว่าจะไม่เคยพูดมาก่อนเลย แต่เวลานี้ ภาคบังคับแล้ว พูดไม่ได้ ก็ต้องพยายามกันล่ะ

หลังปิดค่าย ตอน 10 โมง อ.แว่น บอกว่าให้ไปเวียดนามกับทีมเลย โอ….พระเจ้า ตอนนี้รู้สึกว่า.. แล้วจะทำยังไง มีผู้ชาย 8 คน แม่หญิงคนเดียวเนี่ยะน่ะ จึงอธิษฐานขอพระเจ้านำ เพราะพูดกันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ต้องใช้ภาษามือช่วย แล้วล่ะ พยายามพูดภาษาลาว ซึ่งก็คล้ายกับภาษาอีสานบ้านเรา แต่บางคำก็ไม่เหมือน ปัญหาคือ ภาษาอีสานก็ไม่เคยพูดซ่ะด้วย

รถไปชายแดนลาว เวียดนาม ออกจาก ท่ารถสะวันฯ 12.00 น.ด้วยระยะทาง 250 กม.คาดว่าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมง ถ้าไม่มีปัญหาอะไร คงถึงชายแดนเย็นๆ ขอพระเจ้าปกป้องข้อยด้วยเด้อ ตอนนี้ชักจะซึมซับภาษาลาวแล้วล่ะ ฟังได้ 80% แต่พูด ….บ่ ค่อยได้ เฮ้อ…

รถแล่นมาได้เวลาประมาณ 14.00 น.รถจอดแวะให้ซื้อไก่ย่าง ข้าวเหนียว น้ำดื่ม เราก็สงสัยทำไมต้องแวะให้กินด้วย รถออกมาได้อีกสักพักหนึ่ง ก็จอดอีก คราวนี้จอดให้คนในรถไป “ถ่ายเบา” ในป่าข้างทาง แหม…บริการดี หลายคนเดินเข้าป่าละเมาะข้างทาง ตามใจชอบ ยกเว้นเราที่ยังไม่ต้องใช้บริการนี้

การโดยสารเที่ยวนี้ช่างเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากจริงๆ รถโดยสารคันนี้จะจอดแวะเป็นระยะๆ ตลอดเวลา บ้างจอดดูควายนอนตายอยู่ข้างทาง คนขับก็ลงไปดูด้วย ถามไถ่ว่า “ทำไมมันซิตาย” มีคนตะโกนตอบมาว่า “มันไม่หายใจ” ขำดีเนอะ แต่เสียเวลาน่ะจ๊ะ มีอีกคนตอบมาว่า “ข้อยบ่ฮู้ ข้อย บ่ได้เป็นควาย” เฮ้อ…. ขับมาได้อีกสักครู่หนึ่งก็มีคนด้านหลังรถร้องโวยวาย …. ถามคนนั่งข้างๆ ผู้หญิงชาวลาว ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่า มีคนเอาไม้ “มะยูง” ขึ้นมาบนรถด้วย ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ไม่มีใครรับว่าเป็นเจ้าของ

ไม้มะยูง เป็นไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ ถ้าขนเข้าไปในเวียดนามได้จะขายได้ราคาสูงมาก แต่ถือว่าเป็นไม้ผิดกฏหมาย เอาเข้าประเทศไม่ได้ หากไม่มีใบอนุญาติ มีคนโวยวาย เพราะว่า ถ้าเอาไม้นี้ติดรถไป ทุกคนจะถูกจับ รถก็จะไปต่อไม่ได้ เอ้า … ทำไงล่ะ ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ” อย่าทิ้งไม้ ” อีกคนหนึ่งบอกว่า “ให้ทิ้งข้างทาง” อีกคนหนึ่งบอกว่า ” เสียดายอย่าทิ้ง ” ก็เลยเกิดการโต้เถียงกันอย่างวุ่ยวายว รถก็ขับๆ จอดๆ เพราะผู้หญิงที่อยากให้เอาไม้ทิ้งก็กดอ็อดให้รถจอด ” เอาไม้ทิ้งไป ” แต่คนขับก็ถูกกดดันจากคนที่นั่งข้างหน้า บอกว่า ” ไม่ต้องทิ้ง ” รถจึงวิ่งไปหยุดไป … .. … ..

อีกสักพักใหญ่ ก็มาถึงด่านตรวจ เหมือนตรวจหาสิ่งของผิดกฏหมาย เราก็เลยได้เห็นข้างๆ ถนน มีไม้เป็นท่อนสั้นๆ เรียงรายเป็นแถวยาว อ้อ….เข้าใจแล้ว นั่นแหละไม้มะยูงที่ตำรวจยึดได้จากรถที่พยายามจะขนเข้าชายแดน แต่ถูกยึดเอาไว้หมดเลย เอ้า…แล้วมาถึงรถเรา ..จะทำหยังงัย จะรอดไม๊เนี่ยะ ขอพระเจ้าช่วย …. แต่เอ๊ะ ทำไมอากาศเริ่มเย็นๆ

ระหว่างที่คนขับรถลงไปทักทายตำรวจเวียดนาม ตำรวจก็ไม่ได้ตรวจอะไรมาก แป๊ปเดียวก็ผ่านได้ ปรากฏว่าขับมาได้ไม่นานนัก มีเสียงอ็อดดังขึ้น ยายคนหนึ่งบอกว่าจะลงตรงนี้แหละ พร้อมถือไม้มะยูงท่อนนั้นลงไปด้วย เจ้าของตัวจริงโผล้แล้ว ยาย… คนนี้เอง

ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เวลา 18.00 น. พอดี ตกลงว่า ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมงเต็มๆ …โอ้ โห อากาศหนาวมาก ๆๆ ทำงัยดี รถไม่มีแล้ว ได้ไปพักบ้านของ” ฮุ่ง ” ซึ่งอยู่ตรงกลางลานหมู่บ้าน เป็นบ้านสองชั้น แต่ไม่มีประตูบ้าน ถือว่าเป็นบ้านที่หลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน เจอกับลูกๆ ของฮุ่ง ห้า คน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี สักพักหนึ่งก็มีชาวบ้าน และเด็กๆ เข้ามาดูแขกแปลกหน้าที่มาเยือนในเวลาค่ำมืดแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าพวกมิชชั่นนารีรู้สึกอย่างไร เราใช้เวลาทักทายเด็กๆ , ผู้ใหญ่ ตลอดเวลาพวกเขาก็หัวเราะชอบอกชอบใจในภาษาลาวผสมอังกฤษที่เราพยายามจะสื่อ ก็สนุกดี สักพักใหญ่ภรรยาฮุ่งก็นำอาหารเย็นมาต้อนรับ ก็เป็นขาวัว (ตีนวัว) ผัดเผ็ด ไข่เจียว ต้มผักอะไรสักอย่าง ได้ลองชิมดูก็ดี แต่รู้สึกแปลกๆ ประทับใจกับการต้อนรับของครอบครัวฮุ่งมาก พอจะเข้าห้องน้ำ…ไม่มีประตู..!! ต้องใช้ไม้กระดานแผ่นใหญ่ๆ มาปิด ซึ่งหนักมาก ยกแทบไม่ไหว บ้านฮุ่งนี่ ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะมีห้องน้ำ มีห้องส้วม

เสาร์ 24 เม.ย. 2010

เช้าวันนี้ รู้สึกมึนหัวมาก อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้หายเป็นปกติ ได้ไปเยี่ยมโบสถ์”เคอะซัน” ชาวเกาหลี ชื่อ “ลี” กำลังสอนพระคำภีร์อยู่ โบสถ์นี้นับว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบเวียดนามกลางทีเดียว ส่วน คริสเตียนชาวบลู ทั้งหมด อยู่ภายในการดูแล ของโบสถ์ เคอะซัน , ทั้งฮุ่ง และ พวกนักฟุตบอล เป็นผู้นำ คริสเตียนชาวบลู ที่ร่วมรับใช้พระเจ้า เมื่อมีการอบรมพระคัมภีร์ ผู้นำชาวบลูเหล่านี้จะได้ไปเรียนที่โบสถ์ เคอะซัน

จากนั้นขับรถไปที่ บ้าน “สะหรั่ง” ซึ่งเป็นชาวบลู อยู่ห่างกัน ประมาณ 30 หลัก (กิโลเมตร) ถือว่าไกลมาก ต้องข้ามเขาหลายลูกทีเดียว แต่วิวสวยมากๆ เมื่อไปถึงก็พบชาวบลูทั้งหมู่บ้านที่เชื่อพระเจ้า บ้านเรือนของพวกเขาก็ตั้งอยู่บนเนินเขา ได้ร่วมกันนมัสการพระเจ้า และฟังเทศนาจากอาจารย์ท่านหนึ่งแบ่งปันพระคำ ในมัทธิว 7

ต่อจากนั้นเดินทางไปเยี่ยมอีกหมู่บ้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเขา ไกลประมาณ 30 นาที ถนนมีสีแดงๆ ล้วนเป็นหลุมเป็นบ่อ ลาดชันขึ้นเขา -ลงเขา สลับกันไป อย่าว่าแต่ขับรถเลย แม้แต่จะเดินด้วยเท้าก็ยังยากลำบาก ขอบคุณพระเจ้าที่ฮุ่งสามารถฟันฝ่ามาได้ ตลอดเส้นทางได้อธิษฐานพึ่งพาพระเจ้ามิได้ขาด ที่นี่ได้มีโอกาสพูดคุยหนุนนใจพี่น้อง และอธิษฐานเผื่อผู้เจ็บป่วย

เมื่อมีโอกาสได้คุยกับฮุ่ง สำหรับปัญหาการรับใช้ที่พบอยู่

ฮุ่งบอกว่า อยากให้หนุ่มสาวที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ติดตามพระเจ้า และมานมัสการในคริสจักร ฮุ่งบอกว่า อยากได้กีตาร์เพื่อดึงดูดหนุ่มสาว ให้เข้ามาคริสตจักรเพราะปัจจุบันมีเครื่องดนตรี คือ ออร์แกน ที่บันทึกจังหวะเพลงได้จำกัด อีกปัญหาหนึ่งคือ อยากให้มีผู้รับใช้มาสอนพระคัมภีร์ให้กับหนุ่มสาว และเด็กๆ ที่นี่ เพราะ โบสถ์เคอะซันก็มีบุคคลากรจำกัด รวมถึงการสอนภาษาอังกฤษ ,ภาษาไทย ที่นี่มีผู้ที่จะเรียนพระคัมภีร์ แต่ยังขาดเงินสนับสนุน

ตอนค่ำๆ ได้ไปร่วมนมัสการกับเด็กๆ ที่ คจ.บ้านบลู ใกล้ๆ บ้านของฮุ่ง โดยมีฮุ่งเป็นผู้นำ จัดนมัสการ 3 รุ่น คือ ตอนหกโมงเย็น เป็นรอบของเด็กๆ , หนึ่งทุ่ม เป็นรอบของอนุชนหนุ่มสาว และสองทุ่ม ก็เป็นรอบของผู้ใหญ่ ที่นี่ได้มีโอกาสแบ่งปันพระคำ

อาทิตย์ 25 เม.ย. 2010

ตื่นเช้า 8โมง ออกจากบ้านฮุ่ง ไปร่วมนมัสการพระเจ้า ที่แรก คือ คจ.บ้านแจ้ง ข้ามเขาไปไกลมาก และเส้นทางขึ้นเขาที่ขรุขระอย่างแรง พอไปถึงก็ปรากฏว่าชาวบ้านมารอกันเต็มบ้านแล้ว ใช้บ้านของ “สะออน” นักฟุตบอลเป็นโบสถ์ นมัสการเสร็จก็แบ่งปันเรื่อง “ความเชื่อ” และอธิษฐานเผื่อชาวบ้าน ที่นี่มีคนเจ็บป่วยเยอะมาก โรคปวดหัวเรื้อรัง , โรคกระเพาะ , ปวดกระดูก และ สุขอนามัย การกินอาหารต่างๆ ฯลฯ มีเด็กสี่เดือนคนหนึ่ง เป็นแผลเต็มหัวไปหมดเลย ตัวเหลืองๆ น่าสงสารมาก เมื่ออธิษฐานก็กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ชาวบลูที่นี่ยากจนมากๆ

ประมาณ 11.00 น. ก็รีบไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเพราะเขารออยู่ ขับรถไปอีกเกือบชั่วโมงถึง คจ.บ้านสะแลง มี “ยะ” ซึ่งเคยอยู่ที่ลาวและพูดภาษาลาวได้เป็นผู้นำที่นี่ คริสเตียนผู้ใหญ่ประมาณ 30 คน เด็กๆ 20 คน อยู่กลางหุบเขาที่ปลูกกาแฟ ดูสวยงามมาก เราได้นมัสการพระเจ้าด้วยกัน และแบ่งปันเรื่อง “การเป็นสาวกที่ทรงพลัง” พี่น้องก็ตั้งใจฟังอย่างกระหาย จบแล้วก็มีโอกาสร้องเพลงทำท่ากันอย่างสนุกสนาน และอธิษฐานเผื่อภรรยาของยะที่เป็นเนื้องอก เราให้สามี-ภรรยา จับมือกันอธิษฐาน เขาบอกรู้สึกดีมาก และ ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนเลย

หกโมงเย็น ก็ไปร่วมนมัสการกับเด็กๆ ได้แบ่งปันกับเด็กๆ เรื่องพระเยซูรักเด็กๆ และเด็กๆ ต้องรักษาบัญญัติสิบประการของพระเจ้า และบัญญัติสุขอนามัยที่เด็กๆ ต้องดูแลร่างกายของตัวเอง เพื่อเป็นการบอกว่าเด็กๆ รักพระเจ้า คราวนี้แบ่งปันเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ เพราะให้ลูกสาวฮุ่ง ซึ่งกำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษอยู่ ช่วยแปล เสร็จแล้วก็ร่วมนมัสการกับอนุชน และผู้ใหญ่ คืนนี้ฮุ่งแบ่งปันเอง เสร็จแล้วกลับมาตอน 3 ทุ่ม แต่ก็ยังไม่ได้นอน เพราะเด็กๆ มาหาให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษ

จันทร์ 26 เม.ย. 2010

5.30 น.ตื่นนอน ตื่นเร็ว เพราะวันนี้ต้องเตรียมตัวกลับประเทศไทยแล้ว รถจะออกจากชายแดนเวียดนาม ถึง สะวันณะเขต ประมาณ 10.00 น. ก็มาถึงเวลาที่ต้องกล่าวลา…อ้าว..! ร้องให้ซ่ะงั้น

ฮุ่งขับรถมาส่งที่ด่าน ตม. Stamp ออกจากเวียดนามไม่มีปัญหาอะไร ขอบคุณพระเจ้า มาถึงท่ารถ 09.20 น. ต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะรถออกจากท่า 09.30 น. ไม่ใช่ 10.00 น. นี่ถ้าพลาดเที่ยวนี้ก็โน่น 12โมงนั่นแหละ แล้วคงถึงสะวันณะเขตมืดแน่ๆ และคงมีปัญหาเรื่องที่พักอีก

บนรถโดยสารที่มีคนแน่นตั้งแต่ออกจากท่ารถแล้ว พอขับมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ยางรถแตก ต้องเปลี่ยนยางรถ เสียเวลาไปอีกเกือบชั่วโมง จากนั้นขับต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็มีคนขึ้นมาเพิ่มอีก คราวนี้เอาโลงขึ้นมาด้วย ใหญ่มาก แล้วก้อเอาเครื่องมือก่อสร้างใส่ลงไป เฮ้อ…มีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอด เดี๋ยวก็มีป้าคนหนึ่ง จู่ ๆ โชว์กระรอกที่ตายแหง๋แก๋แล้วขึ้นมาบอกว่าเย็นนี้จะแกงเผ็ดไอ้กระรอกเนี่ยะ บรื้อ..อ.. นั่นเป็นเสียงร้องของคนนั่งข้างๆ ป้าคนนั้น

บนรถได้เจอกับผู้หญิงชาวเกาหลีกับลูกชาย ซึ่งเป็นภรรยามิชชั่นนารี ได้คุยกัน เมื่อรถมาถึงท่ารถในสุวันณะเขต ได้เจอกับมิชันนารีชาวเกาหลี เขาชวนไปที่พักใกล้ๆ กับท่ารถ เราตกลงทันที เพราะเป็นช่วงระหว่างรอรถออก ขอบคุณพระเจ้าสำหรับที่พัก ระหว่างนั้นได้คุยกับอาจารย์เกาหลี และได้รู้จักกับคู่สามีภรรยา ชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นมิชชั่นที่ทำงานร่วมกับอาจารย์เกาหลี เธอบอกว่ามีสำนักงานที่จังหวัดหนองคาย สามารถข้ามมาที่ลาวได้ และ ต่อไปยังเวียดนาม (ฮานอน)ได้อย่างสะดวก และหากเราจะไปเยี่ยม คจ.ที่ฮานอยก็ยินดีต้อนรับ ขอบคุณพระเจ้าที่ได้เปิดโลกทรรศ์งานรับใช้พระเจ้าให้เราได้รู้จักผู้รับใช้เพิ่ม มีสายสัมพันธ์ที่เราสามารถติดต่อและประสานงานได้ในอนาคต

รถมาถึงด่านจังหวัดมุกดาหารหกโมงเย็น มืดพอดี ซื้อตั๋ว ป.2 เข้ากรุงเทพฯ รถออก สองทุ่มครึ่ง ถึงกรุงเทพฯ 06.30 น. ของวันอังคาร 27 เม.ย. ด้วยความปลอดภัย แต่มีของแถมติดมาด้วย คือ เหา… คันหัวมาก และรองเท้ากัดที่เท้าข้างซ้าย ตั้งแต่อยู่ที่บ้านฮุ่งแล้วล่ะ แต่ไม่มียาทำแผลอะไรเลย ต้องอดทน แล้วโดนแมงวี่ตอม รู้สึกว่ามันกลายเป็นแผลกลัดหนอง ปวมแดง น่ากลัวเหมือนกัน

อธิบายเพิ่มเล็กน้อยเรื่อง ชนเผ่า “บลู”

บรู หรือ บลู เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย มีเฉพาะใน จ.อุบลราชธานี และเป้นชื่อเรียกภาษาอีกด้วย

ภาษาบลู จัดอยู่ในกลุ่มมอญ-เขมรเช่นเดียวกับภาษากูย (หรือส่วย) ดังนั้น ภาษาบรูจึงคล้ายกับส่วยหรือกูยมาก โดยเฉพาะศัพท์ต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้เหมือนกันแต่แตกต่างกันในการผสมคำ (ม.มหิดลกับสถาบันราชภัฎอุบลราชธานีได้ศึกษาไว้)

ภาษาบรูมีเฉพาะภาษาพูดเท่านั้น ไม่มีภาษาเขียน การออกเสียงเป็นลักษณะเฉพาะเช่น “ร” นิยมออกเสียงในระดับต่ำกว่า ร ภาษาไทย ตัวพยัญชนะ “ต”และ “ท” ใช้ร่วมกันเพียงตัวเดียวโดยออกเสียงเป็นเสียงกลางๆระหว่างพยัญชนะทั้งสองเช่นเดียวกับ “ก”และ “ค” เป็นต้น เช่น
ศรีษะ (เปรอ) ฟัน (กะแนง) ตา (มั๊ด) เท้า (อาเยิง)
มือ (อาเตย) ปาก (แป๊ะ) ควาย (ตะเรี๊ยะ)

ส่วนการนับเลข ไม่มีเลข 0 ในการนับ เช่น
1 (มวย) 2 (บารร) 3 (ไป) 4 (โปน)
5 (เซิง) 6 (ตะปรั๊ด) 7 (ตะปูลล) 8 (ตะกวลล)
9 (ตะเก๊ะ) 10 (มันจิ๊ด) 11 (มันจิ๊ดละมวย) 12 (มันจิ๊ดละบารร)
20 (บารรละจิ๊ด) 21 (บารรจิ๊ดละมวย) 22 (บารรจิ๊ดละบารร) 100 (มวยกะแซ)
1,000 (มันจิ๊ดกะแซ) 10,000 (มันจิ๊ดมันจิ๊ดกะแซ)