เมื่อแม่ป่วยขั้นวิกฤตจากเส้นโลหิตในสมองแตก

ข้าพเจ้าอยากหนุนใจพี่น้องพี่รักในวันขอบคุณพระเจ้าปี 2019 นี้ ด้วยเรื่องราวที่พระเจ้าทรงรักษาแม่ของข้าพเจ้าให้ฟื้นกลับมาจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก   (ภาค 1 link) วันขอบคุณพระเจ้าปีนี้เป็นอีกวันที่พิเศษสำหรับครอบครัวเราที่แม่ยังอยู่กับพวกเราให้อบอุ่นหัวใจ

ช่วงเช้าวันแม่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเกิดมีเหตุการณ์วิกฤตที่แม่มีอาการสั่นกระตุกค่อนข้างรุนแรง   เราจึงเรียกรถพยาบาล  เนื่องจากระยะทางจากบ้านไกล   รถพยาบาลจึงไม่ยอมมาส่งแม่ที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี  โดยอ้างว่าแม่มีอาการหนักต้องรีบส่งโรงพยาบาลที่ใก้ลๆ    และได้พาแม่ไปส่งเพียงโรงพยาบาลเอกชนเล็กๆแห่งหนึ่ง  แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่อาจารย์หมอใจดีให้ย้ายมาโรงพยาบาลรามาธิบดีได้เนื่องจากไม่มีหมอทางสมองที่นั่น   ทำให้การมาถึงโรงพยาบาลรามาธิบดีล่าช้าไปถึง  5-6 ชั่วโมง

แม่มีการติดเชื้อที่ปอด และเส้นโลหิตในสมองแตก      ซึ่งระยะเส้นเลือดในสมองแตกไปแล้วเป็นระยะของอาการที่อันตรายมากๆ เนื่องจากเป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีเลือดออกในสมอง  จะต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ และโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยก็จะมีน้อยลงด้วย  แม่เส้นเลือดแตกในสมองหลายเส้น เหมือนเกิดระเบิดพร้อมกัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากพยาธิสภาพของผู้ป่วยอัลไซน์เมอร์   ข้าพเจ้ายืนมองผล CT scan ด้วยน้ำตาไหล   ภาพที่เห็นสมองแม่เหลือนิดเดียว จากอาการอัลไซน์เมอร์ที่ทำให้สมองฝ่อ  แต่กลับมีเลือดคั่งอยู่เต็มสมอง   แม่นอนไม่รู้สึกตัว     ทางคุณหมอเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะแม่อายุมากถึง 82 ปีแล้ว  เนื่องจากแม่มีลิ่มเลือดที่ขา   และไม่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้  อาจารย์หมอจึงได้ทำการติดตะแกรงตรงหลอดเลือดดำใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดไปอุดตันส่วนสำคัญของร่างกาย    สำหรับการเจ็บป่วยหนัก ครั้งที่  2 นี้ของแม่ 6 วันที่ท่านนอนไม่รู้สึกตัว  ข้าพเจ้าขอกับพระเจ้าว่าแล้วแต่พระเจ้าจะทรงเมตตาแม่  แล้วแต่พระคุณพระเจ้า  ข้าพเจ้าไม่อยากให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมาน    ซึ่งอาจารย์หมอจะย้ำกับข้าพเจ้าอยู่เสมอว่าคุณแม่ท่านไม่ได้ทรมานอะไร  เพราะท่านไม่รู้สึกตัว   เมื่อ  6 วันผ่านไปแม่เริ่มค่อยๆรู้สึกตัว ขยับขาได้มากเสียจนแม่เหนื่อยหอบ  เหมือนแม่เองก็คงจะตื่นเต้นที่เพิ่งตื่น  ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า

ข้าพเจ้าอยากเล่าให้ฟังว่า  เมื่อแม่ป่วยหนักเราก็ป่วยด้วยกันทั้งบ้าน  ทุกคนก็เหนื่อยจากการช่วยกันทำทุกวิถีทางให้ดีที่สุดเพื่อการดูแลแม่    เมื่อความตึงเครียดที่คืบคลานเข้ามารบกวนชีวิตของครอบครัวเราทุกคนทีละน้อยทีละน้อย   บางครั้งเราก็รู้ตัวว่าเราเครียดกันมาก  บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าที่เรากระทบกระทั้งกันนั้นมาจากความเครียดเรื่องนี้เอง   ดังนั้นเรื่องการดูแลสุขภาพจิตของคนในบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องไม่ละเลยและทำความเข้าใจ    ที่สำคัญเราต้องฝากให้พระเจ้าทรงดูแล

ขอบพระคุณอาจารย์หมอ ที่ดูแลแม่ที่มีความเป็นห่วงไม่ใช่แต่แม่ที่ป่วย   ท่านห่วงเรื่องคุณภาพชีวิตครอบครัวเราที่ดูแลแม่อีกด้วย  เพราะย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในครอบครัวจะได้รับผลกระทบจากการดูแลผู้ป่วย   ท่านได้กรุณาปรึกษาทีมแพทย์สหวิชาชีพและส่งคุณหมอทีมสหวิชาชีพมาเยี่ยมที่บ้านเพื่อมาให้คำปรึกษากับเรา  มาช่วยเพิ่มความเข้าใจให้กระจ่างในการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้าย    ช่วยประคับประคองให้เราค่อยๆช่วยกันคิด และตัดสินใจ   จนในที่สุดเราสามารถหาคำตอบในการบริหารจัดการและ การวางแผนในเรื่องการดูแลแม่ได้   การให้คำปรึกษาในลักษณะนี้แม้จะมีแรงกดดันมากกับพวกเราในระยะแรกๆให้เราต้องคิดต้องหาคำตอบในเรื่องใหม่ที่ยาก    แต่เมื่อวันคืนผ่านไป ข้าพเจ้าคิดว่าการที่เราได้กลั่นกรองจนตกผลึกทางความคิด  การร่วมกันตัดสินใจและโดยเฉพาะในเรื่องของการทำใจให้พร้อม  เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการดูแลผู้ป่วยประคับประคองระยะสุดท้าย

สำหรับความเข้าใจเรื่อง การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรคและครอบครัว (Palliative care)   หมายถึง วิธีการดูแลผู้ป่วยที่ป่วยเป็นระยะสุดท้ายของโรคและครอบครัว   โดยให้การป้องกันและบรรเทาอาการตลอดจนความทุกข์ทรมานด้านต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น   การดูแลจะเน้นการดูแลเป็นองค์รวมครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพ  อันได้แก่  กาย  ใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วย   ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ  ลดความทรมานของผู้ป่วยและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว และทำให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสงบ   อาจารย์หมออธิบายว่าถ้าแม่สามารถสื่อสารเองได้   ท่านก็จะสอบถามกับแม่โดยตรงว่าต้องการทางเลือกเช่นไร   แต่เมื่อแม่ไม่สามารถสื่อสารได้   ท่านก็จำเป็นต้องสอบถามความคิดเห็นทางญาติและหาผู้ตัดสินใจทุกอย่างแทน   โดยหน้าที่ของแพทย์จะทำเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยโดยใช้ทุกวิธีทางการแพทย์   แต่อาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเป็นการเพิ่มความทรมานแก่ผู้ป่วยในเวลาที่เหลืออยู่

ทุกท่านคงจะทราบดีว่าการไปหาหมอในโรงพยาบาลรัฐบาลนั้น  เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการนั่งรอ ก่อนพบแพทย์ครั้งละนานๆ  และพบหมอได้ไม่เกิน 10-15 นาที เพราะคนไข้เยอะมาก   ในช่วงที่แม่ออกจากโรงพยาบาลในครั้งแรกช่วงต้นปี  ข้าพเจ้ารู้สึกท้อแท้  มีนัดต้องไปพบหมอแทนแม่ถึง 3-5 นัด   ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี   เนื่องจากการพาแม่ไปพบหมอทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้  เพราะว่าแม่ต้องเดินทางมาจากบ้านด้วยรถพยาบาล  การเตรียมการต่างๆในการดูแลแม่นอกพื้นที่นับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเพราะต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง  ไหนจะเรื่องสถานที่   นอกจากนี้ข้าพเจ้ามีความวิตกกังวลหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นห่วงแม่  เกรงว่าท่านจะเหนื่อย

ข้าพเจ้าตัดสินใจไปพบ นายแพทย์ เจษฎา เขียนดวงจันทร์  หมอของแม่วันนั้นเป็นเย็นวันพุธ  เหมือนกับ อาจารย์หมอจะเห็นหน้าข้าพเจ้าแล้ว เข้าใจได้เลย ว่าข้าพเจ้านั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง  ท่านกรุณาอธิบาย อาการของแม่ตั้งแต่เริ่มป่วย  ความเชื่อมโยงและสาเหตุทั้งหมดของการเกิดโรค  และแนะนำแนวทางในการรักษา  สงสัยก็สอบถามกันไปเรื่อยๆ  อาจารย์ กรุณาอธิบายและตอบได้ชัดเจนตรงประเด็น และช่วยแนะนำเรื่องการเฝ้าระวังโดยเฉพาะจุดที่อ่อนไหวอาจมีอันตรายในการดูแลหลายอย่าง   เราใช้เวลาอยู่นานพักใหญ่   จากวันนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นมากเพราะได้เห็นภาพโดยรวมถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และพยาธิสภาพของโรค   ทำให้เกิดความเข้าใจมั่นใจและรู้สึกเบาใจ  ข้าพเจ้าโล่งใจขึ้นมาก  ก่อนนั้นข้าพเจ้ามักจะวิตกกังวลว่าข้าพเจ้าจะไม่สามารถทำได้ดีพออยู่เสมอ  เพราะแม่เองก็ไม่สามารถสื่อสารกับข้าพเจ้าได้ว่าต้องการอะไรบ้าง หรือไม่สบาย เจ็บตรงไหนบ้าง  ขอบพระคุณ อาจารย์มากค่ะสำหรับทุกอย่างที่อาจารย์เมตตาทำให้พวกเรา    พวกเรามั่นใจในการดูแลแม่ต่อไปมากขึ้นเพราะเรามั่นใจในทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลรามาธิบดี  ฮาเลลูยา

จากอาการป่วยของแม่ข้าพเจ้าขอขอบคุณมหาวิทยาลัย มหิดล ที่ข้าพเจ้ารัก สำหรับการดูแลบุคลากรเป็นอย่างดี ขอบคุณทีมแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ดูแลครอบครัวเราตลอดมา  อยากให้อาจารย์หมอทุกท่านทราบว่าพวกเรา ซาบซื้งใจ  พวกเรามั่นใจและอุ่นใจอยู่เสมอที่ได้รับการดูแลจากทีมอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญ     นานมาแล้วนับยี่สิบกว่าปี ข้าพเจ้ามักจะพาพ่อแม่ไปพบหมอที่คลีนิคผู้สุงอายุของโรงพยาบาลรามาธิบดี   นับว่าพระเจ้าเมตตาพ่อแม่ของข้าพเจ้าที่ประทานโอกาสให้ท่านทั้งสองได้อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน

ขอบคุณ อาจารย์หมอทางระบบประสาทของแม่ นายแพทย์ เจษฎา  เขียนดวงจันทร์  ที่ดูแลแม่อย่างดีมายาวนาน  จำได้ว่ามีช่วงนึงที่แม่ชอบนั่งทำดอกไม้แห้งใส่แจกัน  แม่จะทำไปให้อาจารย์ หลายอัน  เบี้ยวบาง แหว่งบ้าง อาจารย์ก็ยิ้มรับเสมอ   ข้าพเจ้าคิดว่าความผูกพันของหมอกับคนไข้เช่นนี้เป็นความรู้สึกที่มีค่า อยากบอกอาจารย์ว่าแม่รักอาจารย์มาก  อาจารย์เป็นหมอที่แม่มักจะเอ่ยชื่อถึงเสมอ  ช่วงที่ท่านยังจำความได้  (บางทีท่านจำไม่ได้ก็บอกกับข้าพเจ้าว่า หมอเขียนพระจันทร์  พักหลังๆก็บอกว่า มูนๆ ซึ่งก็คงจะหมายถึง อาจารย์ หมอพระจันทร์ของแม่นั่นเอง )  อาจารย์เป็นอาจารย์หมอที่ใส่ใจในรายละเอียดของคนไข้  อาจารย์จะสื่อสารเชิงบวกกับพวกเรามาโดยตลอดว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้ดูแลแบบนี้นะ  ข้าพเจ้าประทับใจอยู่เสมอกับการที่อาจารย์อธิบายเรื่องซับซ้อนทางประสาทวิทยาที่แสนยากให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายขึ้นได้เสมอ  ทำให้พวกเราสามารถเข้าใจถึงที่มาที่ไป อาการเจ็บป่วยของแม่ได้ง่ายขึ้น  ความห่วงใยให้คำแนะนำของอาจารย์ ทำให้เราเข้าใจแนวทางในการดูแลโรคที่ไม่มีทางรักษา  เมื่อเราเข้าใจ ทำให้พวกเราไม่เครียดกันมาก และมีกำลังใจ ในการเผชิญความจริง   การที่อาจารย์แนะนำให้พวกเรา จดจำ จดบันทึก รายละเอียดของแม่ในฐานะผู้ดูแลนั้นสำคัญมากเพราะจะต้องนำมาเล่าให้อาจารย์หมอฟังเพื่อใช้ในการปรับยาเมื่อไปพบอาจารย์ทุกสามเดือนเป็นเวลาหลายปีเมื่อแม่เริ่มมีปัญหาในการสื่อสาร     ในช่วงหลังๆข้าพเจ้าไม่สามารถพาแม่มาโรงพยาบาลได้   ข้าพเจ้ามาพบอาจารย์แทน  อาจารย์หมอก็กรุณาแนะนำโดยละเอียด สอนวิธีให้ถ่ายคลิปวีดิโอมาให้อาจารย์ดู  ตอนที่แม่ป่วยอยู่โรงพยาบาล แม้อาจารย์จะไม่ใช่อาจารย์หมอเจ้าของไข้โดยตรงของแม่  อาจารย์ก็ยังดูแลแม่อยู่เสมอ  อาจารย์มาเยี่ยมแม่  และกรุณา ส่งหมอประจำบ้านทีมอาจารย์มาดูแลแม่   ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจที่อาจารย์ห่วงใย ใส่ใจและมีเวลาให้คนไข้ของอาจารย์ เสมอ   พวกเรารู้สึกว่าแม่และคนไข้ของอาจารย์ทุกคนนั้นช่างโชคดีที่ได้มาเป็นคนไข้ของอาจารย์ค่ะ

ขอบคุณทีมอธิษฐานคริสตจักรใจสมานและพี่น้องทุกท่านที่อธิษฐานเผื่อแม่เสมอ   ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้ครอบครัวเรา   ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่านค่ะ

ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าเสมอที่พวกเราได้มีโอกาสรับใช้และดูแลแม่ของเรามาตลอด 8-10 ปีที่ท่านป่วยด้วยโรคอัลไซน์เมอร์     พวกเรามีรากฐานชีวิตที่ดีวันนี้ได้เพราะแม่เป็นผู้ให้ทุกสิ่ง   ดังนั้นถ้าเรายังพอทำอะไรได้เพื่อให้แม่ของเรานั้นมีความสุขที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือของแม่ พวกเราทุกคนยินดีและเต็มใจเสมอ

ในวันขอบคุณพระเจ้านี้ ข้าพเจ้าขอหนุนใจ พี่น้องทุกท่านให้เราเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี  (1 เธสะโลนิกา 5:18)   ขอฝากแง่คิดว่าแม้ในบางสถานะการณ์ที่แสนยากลำบาก  เราอาจจะขอบคุณพระเจ้าแทบจะไม่ไหว  หลายครั้งเราอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเกิดสิ่งเหล่านี้ในชีวิตเรา  หลายครั้งเราตอบสนองพระเจ้าด้วยท่าทีเหมือนเด็กเล็กๆเวลาที่ไม่เข้าใจ  ขอให้เราใช้สถานะการณ์เหล่านั้นช่วยให้เราได้เรียนรู้ที่จะเติบโตในพระเจ้า   ขอให้เราอย่าลืมว่าพระเจ้าไม่เคยผิดพลาดและทรงรักเรา  และความรักของพระองค์มั่นคงเป็นนิตย์   ดังนั้นเราไม่ควรน้อยใจ หรือต่อว่าพระเจ้า    ขอให้เรามั่นใจในพระองค์  รักษาความเชื่อและจิตวิญญาณของเราให้ดี และขอให้เราหมั่นฝึกฝนใจของเราให้เรียนรู้ที่จะขอบพระคุณในทุกกรณีจากหัวใจของเราอยู่เสมอ   เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราพระเจ้าทรงดูแลและควบคุมอยู่   พระองค์จะทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีเลิศสำหรับลูกของพระองค์  ขอให้เราอย่างอ่อนระอาใจในการอธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ และสันติสุขที่พระเจ้าให้จะครองใจท่าน

ขอพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ด้วย และอำนวยพระพร ขอพระคุณ  ความรัก และสันติสุข ดำรงอยู่กับทุกท่านในวันขอบคุณพระเจ้าค่ะ

ดวงรัตน์ อินทร (องุ่น)

อีเมล์ [email protected]

7  พฤศจิกายน 2019  เวลา 11.30 น

เอกสารอ้างอิง

1.นายแพทย์  กิติพล  นาควิโรจน์ หลักการของ Palliative care  ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว

2.พระเจ้าทรงฟังคำอ้อนวอนของเราอยู่เสมอ …….ประสบการณ์เมื่อแม่ป่วยหนัก (ภาค 1)  (link)