ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวพุทธที่เคร่งครัดมากเป็นหลานผู้หญิงคนโตในบ้านที่มีความสุขสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ข้าพเจ้ามีคุณตาคุณยาย 3 คู่ ท่านเป็นพี่น้องกัน เราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีบ้านหลายหลังอยู่ร่วมกันโดยไม่ได้กั้นรั้วแบ่งบริเวณ บ้านข้าพเจ้ามีห้องพระหลายห้อง และมีศาลพระภูมิถึงสองศาลและรูปเคารพอีกมากมาย ธรรมเนียมที่บ้านข้าพเจ้ามักจะส่งลูกหลานผู้หญิงเข้าเรียนโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำคริสเตียนที่ใกล้บ้านเสียจนมองเห็นหลังคาบ้าน นับตั้งแต่คุณยาย คุณแม่ น้องๆ ก็เรียนที่นี่กันหมดทั้งบ้าน แต่ก็ไม่มีใครสักคนกลับใจมาเป็นคริสเตียน มีเพียงข้าพเจ้ากับน้องสาวเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าตอนอายุ 10 ปี อยู่ชั้นประถมปีที่ 5 สามสิบเอ็ดปีในเส้นทางเดินแห่งประคุณข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกว่าการตัดสินใจรับเชื่อในพระเจ้าในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดเลย
คุณตาข้าพเจ้าซึ่งเป็นท่านเจ้าของบ้านท่านเคร่งครัดมากและผูกติดเอาความเป็นคนไทยความรักชาติไว้กับความเป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นท่านจึงไม่ชอบใจอย่างมากที่ทราบว่าข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน ข้าพเจ้าไม่ค่อยทราบเรื่องราวความเป็นไปมากนักว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเนื่องจากช่วงนั้นไปเรียนหนังสือเสียหลายปี และไม่ค่อยมีคนอยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้ไม่สบายใจ ตอนกลับมาได้ทราบว่าคุณตาท่านโกรธที่ข้าพเจ้าไปเป็นคริสเตียน ท่านว่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ท่านไม่นับข้าพเจ้าเป็นหลานอีกต่อไปและตัดออกจากกองมรดก ซึ่งตอนข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทยใหม่ๆนั้นยอมรับว่าสับสนใจมาก คงเป็นธรรมดาที่คนเราเรียนหนังสือจบมา ประสบความสำเร็จมาก็อยากเห็นคุณตาชื่นชมในตัวข้าพเจ้า ที่ว่าสับสนเพราะไม่กล้าเข้าไปหาคุณตาทั้งๆที่คิดถึง ช่วงนั้นข้าพเจ้าเสียใจมาก ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้ามักจะถามกับพระเจ้าเสมอว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกันพระองค์เจ้าข้า ไม่ทราบยังไงช่วงนั้นเปิดทีวีไปทีไรเจอแต่หนังช่วงที่คริสเตียนโดนข่มเหงทุกที่ หลายหนมากเลยภายในหนึ่งสัปดาห์ บางเรื่องคริสเตียนก็ โดนโยนให้สิงโตกินกลับเห็นเป็นเกมส์สนุกสนาน และมีภาพหนึ่งจำไม่ได้ไม่ทราบจากหนังสาระคดี UBC ช่องไหน เห็นภาพคริสเตียนในประเทศจีนนมัสการด้วยหน้าตาอิ่มเอิบเป็นกลุ่มเล็กๆ เหมือนกับเค้ามีความสุขมากเหลือเกินที่พระเจ้าเจิมและได้รับพระพรมาก ภาพที่พวกเค้าร้องเพลงนมัสการที่ไม่มีเสียงออกมาเพราะว่ายุคนั้นคริสเตียนจะถูกจับ ข้าพเจ้าชะงักและน้ำตาไหล ข้าพเจ้าอธิฐานสารภาพกับพระเจ้าที่ข้าพเจ้าต่อว่าพระองค์ และขอบคุณที่ทรงประทานความเข้าใจที่ลำลึกให้ข้าพเจ้า ว่ามีคริสเตียนมากมายที่โดนข่มเหงรังแก อย่างสาหัสถึงขั้นโดนฆ่า หรือมีภัยพิบัติต่างๆนานา แต่พวกเค้าก็ยังไม่หยุดที่จะอธิษฐานขอบคุณทุกเวลา เพียงแค่ข้าพเจ้าถูกตัดออกจากกองมรดกเพียงแค่นี้ข้าพเจ้าก็ต่อว่าพระเจ้าแล้วหรือ มิใช่เพราะพระคุณหรอกหรือ ที่พระเจ้าทรงให้ข้าพเจ้ามีอิสรภาพในการเลือกดำเนินชีวิตคริสเตียน ในทุกสิ่งที่จะประกาศ รับใช้ หรือบอกกับทุกคนอย่างภูมิใจว่าข้าพเจ้าเป็นลูกของพระเจ้าอย่างมีสันติสุข มีความปลอดภัยในชีวิต
นอกจากนั้นพระเจ้ายังทรงเล้าโลมจิตใจและสอนข้าพเจ้าว่าทรัพย์สินในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งถาวรหรือสิ่งที่เราจะต้องยึดเหนี่ยว หรือแม้แต่คาดหวังจากใครหรือสิ่งใด เราเป็นเพียงผู้อารักขา เพราะเราอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว โลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา ยอมรับว่าในอดีตข้าพเจ้าก็ลำบากใจกับการบริหารจัดการกับเงินเดือนราชการที่น้อยมาก ครั้นเหลียวมองไปเห็นน้องๆได้มรดกกันมากมายอยู่สบายกว่าข้าพเจ้าก็อดคิดน้อยใจคุณตาไม่ได้ว่าคุณตาน่าจะให้เงินข้าพเจ้าไว้ตั้งตัวบ้าง ทีทำบุญกับคนอื่นตั้งมากมาย ไฉนใยลืมข้าพเจ้าเสีย ก็คุณตาข้าพเจ้ารวยมหาศาลขนาดนี้ ทำไมลืมข้าพเจ้าเสียได้นะ ข้าพเจ้ามักจะครุ่นคิดเช่นนี้เสมอ รับไม่ได้จริงๆ ช่างไม่เข้าใจคุณตาเลย อีกทั้งข้าพเจ้ายังมีภาระต้องผ่อนคอนโดอีกด้วย บางครั้งก็รู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักเหมือนกัน
อีกสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าพเจ้าที่พระเจ้าทรงช่วยรักษาเยี่ยวยาจิตใจที่ฟกช้ำของข้าพเจ้า ผล คือ ข้าพเจ้าไม่โกรธ หรือน้อยใจคุณตาของข้าพเจ้าอีกต่อไป มันทำให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นความรู้สึกอึดอัดใจ กระอักกระอ่วนใจเวลาเจอคุณตา หรือท้อแท้ และสับสนทั้งสิ้นทั้งปวงที่ผูกมัดข้าพเจ้าอยู่ ที่สำคัญ ข้าพเจ้ากลับมารักคุณตาของข้าพเจ้าเหมือนเดิม เพราะข้าพเจ้าสำนึกในบุญคุณของคุณตาเสมอที่ให้รากฐานชีวิตที่ดีกับข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนดีมีความสุข เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน เป็นอาจารย์ที่มีคุณภาพได้จนถึงทุกวันนี้
เดือนพฤศจิกายนปลายปีที่แล้วคุณตาของข้าพเจ้าเสียชีวิตลง ข้าพเจ้าได้เข้าไปช่วยงานศพคุณตาซึ่งจัดขึ้นที่บ้านอย่างเต็มที่ ตลอดระยะเวลาที่เก็บศพไว้ที่บ้านเป็นเวลา 100 วันเพื่อรอพิธีพระราชทานเพลิงศพ ข้าพเจ้าเป็นตากล้องถ่ายรูป ในงานทุกงานซึ่งเป็นทั้งงานสวดศพ หลายครั้งที่เป็นราชพิธีจากในวัง มีแขกผู้ใหญ่สำคัญมามากมาย มีการสวดศพ ทำบุญนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งข้าพเจ้าก็อยู่ตรงนั้นและปฏิบัติหน้าที่อย่างหลานที่รักคุณตามากคนหนึ่งเสมอ ข้าพเจ้าอยู่ตรงนั้นเสมอแม้ต้องลงเรือไปถ่ายรูปการลอยอังคารคุณตาในวันสุดท้ายที่สัตหีบ (ข้าพเจ้าเมาเรือและไม่ชอบการลงเรือเลย มักจะเลี่ยงเสมอ) ข้าพเจ้าช่วยงานทุกอย่างที่คุณยายไว้ใจและมอบหมายให้กับข้าพเจ้า และทำอย่างตั้งใจและเต็มความสามารถ จนข้าพเจ้าล้มป่วยแต่ก็ยังทำหน้าที่ตรงนั้นเต็มที่เสมอ รูปที่ข้าพเจ้าตั้งใจถ่ายไว้มากมายได้รับการเลือกเอามาทำหนังสือที่ระลึกงานศพคุณตา ข้าพเจ้าดีใจและภูมิใจมากที่ทำประโยชน์ได้บ้าง ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานโอกาสให้ข้าพเจ้าได้แสดงความรักกับคุณตาของข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองและบอกกับคุณตาอย่างเต็มหัวใจของข้าพเจ้าว่าหลานคนนี้รักคุณตาเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…………..
กระนั้นหรือ……….. ทุกสิ่งเป็นเพียงความฝัน……….ที่หลานอยากกอดคุณตาอีกสักครั้ง……และบอกกับคุณตาว่า……….หลานรักคุณตาเสมอ…………………….
ของให้พี่น้องมีความสุขมากๆในเทศกาลของวันแห่งความรักและวันตรุษจีน และอย่าลืมบอกคนที่คุณรักที่บ้านทุกคนว่าคุณรักพวกเค้ามากแค่ไหน
ด้วยความปรารถนาดี
ดวงรัตน์ อินทร (องุ่น)
E-mail: [email protected]