ปลายเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วข้าพเจ้าประสบปัญหาวิกฤตแบบไม่เคยคิดฝันมาก่อนที่ที่ทำงาน เช้าวันหนึ่งขณะขับรถไปทำงานเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าโทรเข้ามือถือมาบอกกับข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียที่ร้อนรนว่าไฟไหม้ห้องปฏิบัติการที่ภาควิชาฯ และไหม้ตรงส่วนที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้เข่ยาเลี้ยงสาหร่ายเพื่อใช้ในการทำวิจัยของข้าพเจ้าตั้งอยู่ แวป แรกที่ได้ยินข้าพเจ้าตกใจมาก จนเกือบจะขับรถชนรถข้างหน้าที่ชะลอเพื่อจะจอดติดไฟแดง ข้าพเจ้าชอ๊ค ตกใจมากจนงงไปหมด จนแทบจะขับรถไม่ไหว ข้าพเจ้ารีบโทรศัพท์ไปเรียนให้หัวหน้าภาคฯทราบ ประมาณ 8 โมง 45 นาที ตอนเช้ากว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปถึงที่ทำงาน ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ได้มาดูสถานที่เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่ามีการพูดคุย หรือ จัดการทำอะไรกันบ้าง พอเข้าไปที่ทำงานออกจากลิฟท์ที่ชั้น 4 ก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างแรง ข้าพเจ้ากลัวมากจนบอกไม่ถูก ความวิตกกังวลถาถมเข้ามาจนขาสั่น หมดแรงเดินแทบไม่ไหวเลย เพราะไม่ทราบระดับความเสียหาย และอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เพราะเพื่อนก็เตือนว่ามีกลุ่มผู้ไม่ปรารถนาดีจะเอาเรื่องอย่างข้าพเจ้าหนัก ข้าพเจ้ายิ่งวิตกกังวลซ้ำเติมเข้าไปอีก ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในห้องที่เกิดเหตุด้วยหัวใจที่กองลงมาเหลือแถวๆ ตาตุ่ม ขอบคุณพระเจ้าปรากฏว่าไฟไหม้ที่เกิดขึ้นไม่มีความเสียหายอะไรมาก เพียงแค่ เบรคเกอร์ แอร์ไหม้ และไหม้ลามต่อมาที่สายไฟลงมาที่เครื่องมือข้าพเจ้าซึ่งคือเครื่องเขย่าที่เราเรียกว่าเชคเกอร์ (shaker) ส่วนเครื่องมือที่ทำวิจัยของข้าพเจ้าเองก็ไม่มีความเสียหายใดๆเลย เพียงสายไฟไหม้เท่านั้น และมีเขม่าควันดำที่กำแพงด้านหนึ่งซึ่งเบรคเกอร์แอร์นั้นติดอยู่ และกำแพงก็ไม่ได้เสียหายผุพังแต่ประการใดเพียงแต่เนื่องจากเป็นกำแพงสีขาวสีจึงลอกออกมานิดหน่อยภายใต้เขม่าดำเพียงส่วนหนึ่งของกำแพง ข้าพเจ้าถอนหายใจอย่างโล่งใจ และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดูแล เพราะเหตุไฟไหม้นั้นเกิดตอนเวลาสองทุ่ม ทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ยามได้กลิ่นไหม้และขึ้นมาดับทันเวลา ขอบคุณพระเจ้าที่เพลิงไหม้ต้นเหตุลามไปโดนด้านกำแพงที่เป็นปูนจึงไม่เป็นเหตุให้ไฟลุกลาม ถ้าโดนกำแพงที่ขนาบอีกสองด้านซึ่งเป็นข้างฝาของห้องเล็กๆนั้นที่เป็นไม้คงจะเกิดการไหม้ลุกลามใหญ่โต แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบลงด้วยเรื่องราวเพียงเล็กน้อยแบบที่สายตาคนมองโลกในแง่ดีอย่างข้าพเจ้าจะคิดได้ มีเพื่อนร่วมงานที่ไม่ปรารถนาดีของจ้าพเจ้าได้เพียรพยายามที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่จบสิ้น มีการเขียนรายงานว่าขึ้นไปที่คณะฯว่า “ไฟไหม้ กำแพงเสียหาย” ซึ่งในระเบียบราชการข้าพเจ้าเองก็เพิ่งทราบว่าไฟไหม้นั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทางกฏหมาย ทำให้ข้าพเจ้าต้องโดนสอบสวนและที่ทำร้ายจิตใจคือรู้สึกเสียใจมากกับความคิดต่างๆที่ไม่ดีของเพื่อนร่วมงานบางคน ข้าพเจ้าเองรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ไฟไหม้นี้ รู้สึกผิดและรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าโดยตรงอยู่แล้วเพราะว่าถึงอย่างไรก็เป็นบริเวณห้องที่ข้าพเจ้าใช้และเหตุเกิดที่บริเวณที่ลูกศิษย์ข้าพจ้าใช้ทำการวิจัยอยู่ แต่ในเมื่อมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และกรณีนี้ไม่เหมือนการทุจริตโกงกิน หรือการโขมยของที่จะต้องหาคนมารับความผิดนั้นให้ได้ ยิ่งมาเจอกับความใจร้ายของเพื่อนร่วมงานที่พยายามจะหาเรื่อง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกเสียใจ ว่าในสถานการณ์แบบนี้ทำไมถึงได้ทำกันขนาดนี้ ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาอย่างรุนแรงเพียงใด ข้าพเจ้าก็นิ่งเฉย และวางใจในพระเจ้าว่าจะทรงเตรียมหนทางที่ดีไว้ให้เสมอ นับเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ยาวนาน กว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะสงบอยู่ท่ามกลางพายุร้าย เหมือนดังที่อาจารย์ เทศนาว่าตรงจุดศูนย์กลางของพายุร้ายนั้นจะมีความสงบ…………………และนั่นเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าของข้าพเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองทุกย่างก้าว ทุกถ้อยคำที่พูดความจริงด้วยความจริงใจ และสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดว่าแท้จริงแล้วผู้ไม่หวังดีนั้นต้องการอะไรแอบแฝงจากเหตุการณ์นี้ การสอบสวนที่ข้าพเจ้าหวาดกลัวมาก (ก็ตั้งแต่รับราชการมา 10 ปี เพิ่งโดนสอบสวนเป็นครั้งแรกนี่นา รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษจังเลย) ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับข้าพเจ้า ในการสอบสวนนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร ข้าพเจ้าเพียงตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง ว่าเครื่องมือวิจัยของข้าพเจ้าทุกชิ้นนั้นไฟจะตัดและทุกอย่างจะดับลงทุกวันเวลา 6 โมงเย็นและเปิดเวลา 6 โมงเช้าทุกวันโดยติดตั้งทามเมอร์อัตโนมัติ เหตุผลที่เราต้องตัดไฟและหยุดเขย่าซึ่งเป็นผลเสียอย่างมากกับผลการวิจัยของเราก็เนื่องจากเคยไฟชอ๊ตมากก่อนครั้งนึงตอนกลางคืน เหตุการณ์ในการสอบสวนกลับกลายเป็นข้าพเจ้ามีโอกาสเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการปรับปรุงด้านความปลอดภัยในการทำวิจัย และปัญหาด้านโหลดไฟฟ้าต่างๆในภาควิชาฯ ที่มากเกินกว่าสายไฟจะรับได้ให้กับผู้บริหารคณะฯ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้กลับเป็นผลดีที่ทางภาควิชาฯและคณะได้มีความตระหนักและเข้าใจว่าการรักษาความปลอดภัย การปรับปรุงระบบการเดินสายไฟให้มีโหลดที่เหมาะสมกับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และการซ่อมบำรุงระบบสายไฟต่างๆเป็นเรื่องจำเป็น เหตุการ์นี้นับว่าเป็นอุทาหรณ์เตือนใจที่ดีให้มีความระมัดระวังมากขึ้น ข้าพเจ้าขอขอบคุณเปิ้ลน้องสาวที่รักของข้าพเจ้า มะลิ พี่ตุ๊กตา พี่ตุ๋ย พี่แอ๊ว ที่หนุนใจข้าพเจ้าเสมอระหว่างผ่านถิ่นทุรกันดารนี้ อีกทั้งยังมีภาระใจอธิฐานเผื่อข้าพเจ้าอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ยามขึ้นไปเดินตรวจตึก ณ. เวลาที่ไฟไหม้เพียงเล็กน้อยนั้นพอดี ซึ่งปกติยามคณะฯข้าพเจ้าจะขึ้นไปเพียงครั้งเดียวสำหรับยามเวรกลางคืน ดังนั้นเหตุการณ์นี้ไม่ใช้เรื่องบังเอิญเลยแต่เป็นการดูแลที่มาจากพระเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าด้วยน้ำตาไหลว่าพระเจ้าทรงดูแล และทรงควบคุมอยู่ แล้วทำไมจะต้องหวั่นไหวหรือหวาดกลัว ลองนึกดูถ้าไฟไหม้จนภาควิชาฯไหม้เป็นจุลไปเลยทั้งชั้นและลุกลามไปชั้นอื่นๆจะมีความเสียหายมากมายขนาดไหน เรื่องไฟไหม้นับว่าน่ากลัวและเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะจะไม่มีอะไรเหลือเลย !!!! ดวงรัตน์ อินทร (องุ่น) E-mail: [email protected] Share this postFacebook