
มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเรียนนั้นชื่อมหาวิทยาลัยโอซาก้า หรือที่เราเรียกกันว่าฮันได ซึ่งมีทำเล อยู่ชานเมือง มองเห็นภูเขาล้อมรอบ ข้าพเจ้าชอบมากเพราะทำให้รู้สึกว่าอยู่ใกล้ธรรมชาติอยู่เสมอ ข้าพเจ้ามีชีวิตที่เรียบง่ายโดยการปั่น B M (x)ไม่ใช่ W (เป็นเพียงจักรยานยี่ห้อ (X)) ไปที่แล็บทุกวันโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที อากาศที่นั่นดีมากเหมือนกับเวลาสูดอากาศได้เต็มปอดบนยอดดอยสักแห่ง ถ้าเรียนหนัก หรือรู้สึกเครียดอยากพักบ้าง ก็สามารถนั่งรถไฟเข้าไปเดินเล่น ซื้อของในเมืองได้โดยใช้เวลาเพียง 20 นาที โอซาก้าเป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในแถบคันไซ และเหนืออื่นใดแทบไม่มีประวัติเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมาก่อนเลย และนั่นหล่ะคือเหตุผลหนึ่งที่ข้าพเจ้าเลือกไปเรียนที่นั่น
ชีวิตนักเรียนต่างชาติในมหาวิทยาลัยหนักมาก สาขาที่ข้าพเจ้าเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพทางสิ่งแวดล้อมนั้นเน้นหนักในการทำวิจัยในห้องทดลอง ดังนั้นข้าพเจ้ามักจะขลุกอยู่ไม่ในห้องทดลอง ซึ่งก็จะเป็นห้องสมุดวันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ตอนนั้นเศรษฐกิจยังดีอยู่ มีความปลอดภัยสูง ข้าพเจ้ามักจะขี่จักรยานกลับบ้านหลังเที่ยงคืนเสมอ ๆ สำหรับคนญี่ปุ่นรุ่นเก่านั้นขยันและจริงจังมาก ส่วนคนรุ่นใหม่นั้นดูราวกับว่าขยัน บางคนก็เป็นเด็กดีขยันจริงๆ แต่ส่วนมากก็มักจะทำท่าขยันให้ดูกลมกลืน สำหรับนิสัยคนญี่ปุ่นและ วิธีการคิดของคนญี่ปุ่นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอีกชาติหนึ่งที่มีความซับซ้อนและน่าเวียนหัวมากชาติหนึ่งทีเดียว อาจจะเป็นเพราะสังคมของพวกเขาจะต้องเก็บความรู้สึกมากเกินไป ในสายตาของข้าพเจ้า ถ้าจะให้ทำความเข้าใจพวกเขาอย่างถ่องแท้ ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองยังเข้าใจพวกเขาได้น้อยเต็มที แต่ก็แปลกที่ญี่ปุ่นนั้นมีเสน่าห์ชวนให้ข้าพเจ้าหลงไหลอยู่เสมอ เอาไว้ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสดี ๆ เช่นนี้อีกข้าพเจ้าจะแบ่งปันให้ฟังในวันหลัง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนญี่ปุ่นคิดว่าตัวเองเป็นชนชาติชั้นแนวหน้าที่สุดในเอเชีย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะดูถูกพวกเรา ว่าไม่ต่างจากเขมร ลาว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงไทยใจหาญทั้งหลายที่ไปประกอบอาชีพก็ได้สร้างวีรกรรมไว้โดดเด่นมากมาย ซึ่งล้วนแล้วจะวนเวียนไม่พ้นโรงพักและศาลเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งบางครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นอาสาสมัครไปช่วยเกี่ยวกับการเป็นล่ามในคดีต่างๆของผู้หญิงเหล่านั้นก็ต้องอธิฐานขอพระเจ้าชำระจิตใจของข้าพเจ้าให้ความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับคุณผู้หญิงประเภทนี้หมดไป ดังนั้นชีวิตการเป็นนักเรียนหญิงไทยในแดนอาทิตย์อุทัยนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายเลย
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเผชิญกับปัญหา อุปสรรคมากมายทั้งเกี่ยวกับการเรียน การทำวิจัยและการดำเนินชีวิต พระเจ้าได้สอนข้าพเจ้าหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความอดทน และความถ่อมใจ หลายครั้งที่สถานการณ์บีบคั้น เหมือนพบกับทางตัน ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเชื่อและวางใจเหมือนเด็กทารก ชีวิตในช่วงนั้นพระคุณ พระพรมากล้นได้หลั่งไหลเข้ามาในชีวิติไม่ขาดสาย พระองค์ทรงห่วงใยดูแล ทรงจัดเตรียมหนทางที่ดีและทางออกที่ดีเลิศให้ลูกของพระองค์เสมอ เมื่อมองย้อนไปในอดีตข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าพระองค์ไม่ได้ทรงจัดเตรียมสิ่งดีอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับ ณ.เวลานั้นเท่านั้น แต่ทรงจัดเตรียมเพื่อ หล่อหลอม เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นคนที่ใช้การได้มากขึ้นสำหรับปัจจุบันนี้อีกด้วย ทำให้ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำงานให้ประเทศชาติได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญข้าพเจ้ามีความสุขกับงานมาก ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าเสมอสำหรับช่วงเวลา ช่วงชีวิตในการศึกษาของข้าพเจ้า โดยเฉพาะช่วงเวลาอันมีค่าเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้มีประสบการณ์ในการเผชิญปัญหาต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวลำพัง แต่มีพระองค์ทรงสถิตย์อยู่ด้วยเสมอ ในประสบการณ์ที่มีค่าเหล่านั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชวนให้ข้าพเจ้ากลัวจนจับใจไม่รู้ลืม
เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2538 ตอนตีห้าสิบเจ็ดนาที ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกเขย่าให้ตื่นอย่างแรง เมื่อตกใจตื่นขึ้นมาก็งง ! ว่า เอ ! เราอยู่คนเดียวนี่นา เมื่อคิดได้ว่าต้องเป็นแผ่นดินไหวแน่ๆ ข้าพเจ้าตกใจมากจนตัวสั่น ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าไม่เคยตกใจจนตัวสั่น แบบนี้มาก่อนเลย เรียกว่าตกใจสุดขีดครั้งแรกในชีวิต ก็ว่าได้
ข้าพเจ้าตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก วิ่งออกจากบ้านมาก็เห็นคนญี่ปุ่นจับกลุ่มคุยกันหน้าบ้าน ข้าพเจ้าลืมภาษาญี่ปุ่นไปชั่วขณะ ฟังไม่ได้ศัพท์เลย จำได้ว่าหนาวมากสั่นทั้งข้างนอกข้างใน ตับไตไส้พุงของข้าพเจ้าแทบจะออกมาแกว่งไกวกันให้วุ่นวาย แถมอพาร์ตเมนที่ข้าพเจ้าอยู่ก็ไม่มีคนต่างชาติเลยมีข้าพเจ้าเป็นกระเหรี่ยง (ตื่นตูม ใจเต้นตูมตาม) อยู่คนเดียว เลยยิ่งทำให้ข้าพเจ้าทั้งสับสน กลัวและเหงาวังเวงจับใจ

