ผู้ที่โจมตีศาสนาคริสต์ มักกล่าวเสมอว่า “ศาสนาที่มีคำสอนว่าด้วยเรื่องพระเจ้ามักจะเอาสวรรค์มาเป็นเครื่องล่อใจให้มนุษย์เราทำความดี และเอานรกมาขู่เพื่อให้ละความชั่ว ดังนั้นจึงเป็นศาสนาที่ไม่เคารพต่อเหตุผล เป็นเสมือนยาเสพติด และไม่มีประโยชน์ต่อสังคมแต่อย่างใด คำโจมตีนี้เกิดจากความเข้าใจผิด และรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ยิ่งกว่านั้นสวรรค์ตามที่ระบุไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ยังตรงข้ามกับสวรรค์ในความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป ทั้งนี้พระเยซูเคยบอกความจริงไว้แล้วว่า “ไม่มีผู้ใดขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือ มนุษย์” ยน.3: 13 ดังนั้น จึงต่างพยายามวาดภาพสวรค์ตามที่มนุษย์เห็นว่าดีเท่านั้น สวรรค์ของบางศาสนาจึงเป็นสิ่งจำลอง ของสิ่งที่คนนับถือศาสนานั้นๆ เห็นว่าดี เช่น ภาพจำลองของฮาเร็ม หรือวังของมหาราชา ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มัวเมาด้วยกามคุณทั้งนั้น แต่สวรรค์ที่พระเยซูทรงให้ไว้กับตรงกันข้าม พระองค์ตรัสว่า “เมื่อมนุษย์จะเป็นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตในฟ้าสวรรค์” มธ.22 :31
นักปราชญ์ไทยคนหนึ่งได้เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์รายวันว่า “สวรรค์ฝรั่งนั้น พวกเทวดาฝรั่ง วิมานก็ดูเหมือนจะไม่มีอยู่ เทวดาก็ดูเหมือนจะเป็นนปุงสลึงค์ คือ ไม่มีผู้ชาย หรือผู้หญิง จะเหาะไปเฉย ๆ อย่างเทวดาไทยก็ไม่ได้ ต้องกระพือปีกเหมือนนก และถ้าไปเกาะที่ไหน ก็เกิดปัญหาขึ้นทันทีว่า จะทำอย่างไรกับปีกซึ่งใหญ่โตเกะกะไม่ใช่เล่น หน้าที่ประจำก็คือ ดีดพิณ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า” เขาจึงสรุปว่า การเป็นเทวดาฝรั่งนั้นแย่เอามาก ๆ ให้เขาเป็นเขาก็ไม่เอา นั่นแสดงว่า ถ้าพระเจ้าจะเอาสวรรค์ล่อให้มนุษย์ทำดี ก็น่ากลัวจะไม่ได้ผลเป็นแน่แท้
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระเจ้าทรงประกาศว่า “ความคิดของเรา ไม่เหมือนความคิดของเจ้า และทางของเจ้าไม่เหมือนทางของเรา เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น อสย. 55: 8-9 ดังนั้นสวรรค์ของพระเจ้าจึงอยู่สูงเกินกว่าความคิดของมนุษย์ทั่วไป
สวรรค์ตามพระคริสตธรรมคัมภีร์
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้น ได้กล่าวถึงสวรรค์ไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาจจะเกิดปัญหาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะว่า ถ้าเรารู้เรื่องของสวรรค์อย่างสมบูรณ์แล้ว จะทำให้เราอยากไปอยู่สวรรค์มากเกินไป จนทำให้เราต้องสูญเสียความเป็นอยู่ของโลกนี้ไปก่อนที่จะไปถึงสวรรค์จริง ๆ ก็ได้ ตัวอย่างเช่น ท่านเปาโลผู้เคยเห็นสวรรค์แล้ว ( 2 คร. 12: 2,1 ) ท่านก็เกิดมีใจลังเลขึ้นว่า “ข้าพเจ้าลังเลอยู่ในระหว่าง 2 ฝ่ายนี้ คือว่าข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไป เพื่ออยู่กับพระองค์ ซึ่งประเสริญกว่ามากนัก (ฟป. 1: 23 )
คนทั่วไปมักกล่าวว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ” นั่นแสดงว่า “สวรรค์-นรก” เป็นแต่เพียงสภาวะของจิตใจเท่านั้น แต่พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่า สวรรค์หาได้เป็นเพียงแค่สภาวะทางจิตอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้น แต่สวรรค์เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง จริง ๆ เหมือนดังกรุงเทพ เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือ บุตรมนุษย์ ยน.3 13 และในอีกตอนหนึ่งว่า “ในพระนิเวศน์ของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราจะไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่าน ยน. 14 :2 ผู้แต่งเพลงสดุดีกล่าวว่า “ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์สถิตอยู่ที่นั่น “สดุดี139: 9 ,ปฐก. 29 12 และปญจ.4:2
สวรรค์อยู่ที่ไหน
เรื่องสวรรค์อยู่ที่ไหนพระคัมภีร์บอกเราว่าอยู่เบื้องบน ดังที่พระเยซูได้ตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษญ์ ยน. 3: 13 และยอห์นผู้ใบพติสมาได้กล่าวว่า “พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบน ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากแผ่นดินโลกก็เป็นของฝ่ายโลก และพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ยน.3 :31 ดู ยก.1: 17
แต่โลกนี้กลม การพูดแต่เพียงเท่านี้ก็จะก่อให้เกิดขึ้นว่าสวรรค์อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะถ้าเราจะชี้ขึ้นไปเบื้องบน และชาวอเมริกาที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะชี้ขึ้นเบื้องบนแล้ว สวรรค์ก็อยู่คนละทิศทีเดียว
นักศาสนาศาสตร์ต่างเห็นว่า ที่จะกล่าวว่า “สวรรค์อยู่เบื้องบน” อย่างเดียวนั้น น่าจะไม่ชัดเจนพอ ท่าบิลลี่ แกรแฮมได้เขียนไว้ในหนังสือสันติสุขของพระเจ้าหน้า 129 ว่า “พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน นักศึกษาบางคนได้พยายามจับเอาบางตอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์มารวมกันแล้วพูดว่า สวรรค์อยู่ทางขั้วโลกเหนือ โดยคัดเอาบทเพลงสรรเสริญ 44: 2 ที่อ้างว่า “ภูเขาบริสุทธิ์ของพระเจ้ามองไปก็สง่างาม เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือภูเขาศิโยน อุดรไกล ซึ่งเป็นพระมหานครของพระมหาราชา ” เรื่องเกี่ยวกับทิศทางเหนือนี้น่าสนใจมาก เพราะพระเจ้าเคยตรัสสั่งให้โมเสสเอาเลือดไปถวายบูชาทางด้านเหนือของแท่นบูชาตรงพระพักตร์พระองค์ เข็มแม่เหล็กก็ชี้ไปทางทิศเหนือทั้งสิ้น บางทีสวรรค์อาจจะอยู่ทางทิศเหนือก็ได้ เราไม่ทราบ แต่ไม่เป็นปัญหาว่าสวรรค์จะอยู่ที่ไหน ที่ๆ พระคริสต์ประทับอยู่นั่นแหละสวรรค์
บรรดานักศาสนศาสตร์ได้พยายามค้นคว้าพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพื่อจะดูว่ามีร่องรอย และมีอะไรบ้างที่แสดงถึงที่ตั้งของสวรรค์ และเขาพบข้อความใน อสย. 14 :12-14 ว่า ” โอ ดาวประจำวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟากฟ้าสวรรค์แล้วสิ เจ้าถูกตัดลงมาถึงพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้ประชาชาติตกต่ำน่ะ เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ข้าจะขึ้นไปยังสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ. ที่สูงนั้น ข้าจะนั่งบนขุนเขาเทพชุมนุมสถาน ณ.อุดรไกล ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด ”
คำว่า ” อุดรไกล ” ชี้ให้เห็นว่า,แสดงให้เห็นว่า ” ขุนเขาเทพชุมนุมสถาน ” นั้น อยู่ทางทิศเหนืออย่างแน่นอน และใน สดด.44: 2 3 ได้กล่าวว่า ” ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์มองขึ้นไปก็งดงาม เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือ ภูเขาศิโยน อุดรไกล ซึ่งเป็นนครของพระมหาราชา ภายในป้อมของนคร พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ว่าเป็นปราการที่มั่นคง ” ข้อความนี้บางคนเข้าใจว่ามันหมายถึงกรุงเยรูซาเล็ม เมืองหลวงของอิสราเอลในสัมยนั้น แต่ถ้าเราสังเกตุดูดี ๆ เราจะเห็นว่ามันหมายถึงสวรรค์มากกว่าเพราะ
- พระคัมภีร์มักจะใช้กรุงเยรูซาเล็มเป็นภาพพจน์ของสวรรค์
- กรุงเยรูซาเล็มของชาวอิสราเอลหาได้อยู่ทางทิศเหนือของประเทศไม่ แต่อยู่ทางแคว้นในภาคใต้ของประเทศอิสราเอล
และตาม สดด. 75: 6- 7 ได้กล่าวว่า “เพราะว่าการยกนั้นมิได้มาจากทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก และไม่ได้มาจากถิ่นทุรกันดาร (แปลเก่าว่า หรือทิศใต้) แต่พระเจ้าผู้ทรงกระทำการพิพากษา ทรงให้คนหนึ่งลง และทรงยกอีกคนหนึ่งขึ้น
ท่านเอเสเคียสได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่านว่า “พระวจนะของพระเจ้ามายังเอเสเคียลปุโรหิต บุตรบุชีในแผ่นดินของคนเคลเดียริมแม่น้ำเดบาร์ ณ ที่นั้นพระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือท่าน ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมพายุก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวับ …อสค.1 :3,4 จากพระคัมภีร์ที่ยกขึ้นมานี้ทำให้น่าเชื่อว่า สวรรค์น่าจะอยู่ทางทิศเหนือจริง ๆ เพราะทางทิศเหนือ เป็นทิศเบื้องสูงของทุกแห่ง ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าจะชี้ไปทางทิศเหนือ ก็จะชี้ไปทางเดียวกันหมด ยิ่งกว่านั้นเรายังพบว่าทางขั้วโลกเหนือมีท้องฟ้าแห่งหนึ่งที่ว่างปล่าอยู่ ปราศจากดวงดาวแม้แต่ดวงเดียว แม้ว่ารอบ ๆ ช่องว่างนั้นจะเต็มไปด้วยดวงดาวก็ตาม ยิ่งกว่านั้นนักดาราศาสตร์ยังลงความเห็นว่า ดวงอาทิตย์พร้อมด้วยดวงดาวนพเคราะห์ซึ่งรวมทั้งโลกเรากำลังถูกนำไปเฝ้าพระเจ้า ณ.พระที่นั่งของพระองค์ คือ สวรรค์ก็เป็นได้ ใครจะรู้ หรือพูดอีกอย่างก็คือว่า โลกกำลังถูกนำไปสู่วาระสุดท้ายของมัน
เมื่อเราทราบแนวความคิดของนักศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของสวรรค์แล้ว เราก็มาถึงปัญหาที่ว่าสวรรค์มีกี่ชั้น เราแบ่งเป็นชั้น ๆ เหมือนศาสนาอื่นๆ ไหม เพราะในทัศนะของชาวไทย สวรรค์มีการแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ด้วย เท่าที่จำได้ก็มี ชั้นดุสิต ,ดาวดึงษ์,นินมานนรดี และยังมีอื่น ๆ อีกหลายชั้น นั่นแสดงว่า เทวดาในสวรรค์ก็ถูกแบ่งเป็นเทวดาชั้นสูง และชั้นต่ำด้วย เรื่องนี้ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีรายละเอียด แต่ได้เคยกล่าวถึงสวรรค์ชั้นที่ 3 , คร.12: 2 หรือที่เรียกว่า “เมืองบรมสุขเกษม, 2 คร.12: 3 หมายถึงอะไร เรื่องนี้นักศาสตร์ได้ให้อรรถาธิบายว่า สวรรค์ถ้าจะเรียกตามภาษาหนังสือนั้นมี 3 ชั้น จริงนั่นคือ
ชั้นที่1 ได้แก่บรรยากาศที่หุ้มห่อโลกนี้ที่นกบินไปมา และ มีเมฆปกคลุมอยู่ ที่ภาษาไทยเรียกว่า “ฟ้า” ปฐก.1: 4,21
ชั้นที่2 อยู่นอกบรรยากาศออกไป เป็นที่อยู่ของหมู่ดาวแกแลคซี่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ ปฐก. 1 :14- 17 ,สดด.4: 3
ชั้นที่ 3 เป็นที่ประทับของพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่เรากำลังศึกษาอยู่ เราเรียกกันว่า ” เมืองบรมสุขเกษม ”
ในพระคัมภีร์ได้บรรยายถึงเรื่องของสวรรค์อย่างซับซ้อน ยากแก่การเข้าใจ ได้กล่าวถึง สวรรค์ (ท้องฟ้า)ใหม่ แผ่นดินโลกใหม่ และกรุงเยรูซาเล็มใหม่
ให้เรามาศึกษาใน อสย. 65 :17-18 กล่าวว่า “เพราะ ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่เพราะสิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำกันหรือนึกได้อีก แต่จงชื่นบานและเปรมปรีดิ์เป็นนิตย์ในสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น เพราะดูเถิด เราสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นที่เปรมปรีดิ์ และชนชาติของเมืองนั้นให้เป็นที่ชื่นบาน เราจะเปรมปรีดิ์ด้วยเยรูซาเล็ม และชื่นบานด้วยชนชาติของเรา จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ในเมืองนั้นอีก และเสียงครวญครางจะไม่มี”
คำว่า ” ฟ้าสวรรค์ใหม่” นั้นตามภาษาเดิมควรแปลว่า “ท้องฟ้าใหม่ ” วว.21: 1 เพราะเราไม่ได้หมายถึง สวรรค์ใหม่ หมายถึง บรรยากาศใหม่หรือท้องฟ้าใหม่ และในข้อความตอนนี้ยังทำให้เข้าใจว่า ที่ตั้งของกรุงเยรูซาเล็มใหม่นั่นเอง และจากการเปรียบเทียบ อสย. 65 :17-19 กับ ว.ว. 21: 1- 4 ก็จะเห็นได้ว่ากล่าวถึงสถานที่แห่งเดียวกัน
สรุปแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า แผ่นดินโลกใหม่และท้องฟ้าใหม่นั้น เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ” ได้ตระเตรียมไว้สำหรับเราทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก ” มธ.25 : 19 ดู ฮบ.11:16 ด้วย อันจะเป็นสถานที่อยู่นิรันดร์ของเรา เป็นสถานที่ที่เราอยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์
ตามที่เราคาดคะเนว่า “แผ่นดินโลกใหม่แล ะท้องฟ้าใหม่” และสวรรค์ ตลอดจนกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เป็นแหล่งเดียวกันนั้น ตามหลักฐานในพระธรรม อสย.64: 17-18 ก็เป็นแต่ความเห็นอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องลึกลับเกินกว่าความเข้าใจของเราอยู่นั่นเอง เราต้องรอจนกว่า “เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” 1 คร. 11: 12
เราจะหันมาพิจารณาลักษณะของเมืองสวรรค์ตามที่ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับกรุงเยรูซาเล็ม หรือ ” วิสุทธินคร ” ใน อสย. 65: 18,19 “ดูเถิด เราสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นที่เปรมปรีดิ์ และชนชาติของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ในเมืองนั้นอีก และเสียงครวญครางในนั้นจะไม่มี ” เทียบ วว. 21 : 9 “พระเจ้าทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยอด จากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคนั้นผ่านพ้นไปแล้ว
ท่านยอห์นได้บันทึกถึงสวรรค์ หรือเยรูซาเล็มไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในนครนั้นเลย เพราะพระเจ้าผู้สูงสุด และพระเมษโปดกทรงเป็นพระวิหารในนครนั้น” วว.21: 22 ในเมืองสวรรค์นั้นเราจะไม่ต้องเข้าไปในตัวตึก หรือโบสถ์หลังใด ๆ เพื่อจะนมัสการพระเจ้า เพราะเราอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์ตลอดเวลา และเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทุกเมื่อ
วว. 21: 23 ได้กล่าวถึงลักษณะของเมืองนั้นว่า “นครนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของนครนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็นดวงประทีปของนครนั้น”พระสิริของพระเจ้าที่มีแสงกล้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามตะวันเที่ยง
” ประตูของนครทุกประตูจะไม่ปิดเลยในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในนครนั้นเลย ” วว. 21 :25 นั่นแสดงว่าเมืองนั้นเป็นเมืองที่ปลอดภัยทุกประการ ไม่มีอัตรายมากล้ำกรายได้
“สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้ามาในนครนั้นไมได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกจึงจะเข้าไปได้” วว.21: 27 แม้ว่าประตูสวรรค์จะไม่ปิดตลอดกาล แต่ก็ไม่อาจเข้าได้โดยพลการ เพราะแต่ละประตูก็มีทูตสวรรค์รักษาการอยู่ ดู ว.ว. 21: 12 ดังนั้นเมืองนี้จึงปราศจากสิ่งโสโครกทั้งปวง
“ท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้าดูแม่น้ำที่มีแม่น้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนแก้วไหลจากพระที่นั่งของพระเจ้า และพระที่นั่งของพระเมษโปดก ไหลไปตามกลางถนนในนครนั้น และริมแม่น้ำสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย” วว.22: 1- 2 ตามเนื้อความตอนนี้ เข้าใจว่าเป็นภาพพจน์เปรียบเทียบมากกว่าจะเป็นจริงตามตัวอักษร เพราะต้นไม้แห่งชีวิตจะไม่มีความหมายเลย ถ้าทุกคนมีชีวิตนิรันดร์ และใบของต้นนั้นก็ไร้ค่า เพราะในนครนั้นไม่มีการเจ็บป่วยอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ก็อาจจะหมายความว่า ในเมืองนั้นทุกคนมีชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตที่สดชื่นดุจดังต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข ปราศจากทุกข์ภัยไข้เจ็บทั้งปวงด้วยพระเมตตาของพระเมษโปดก
บทความโดย ศจ.เจียมเม้ง แซ่เล้า