การส่งต่อความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะคนแต่ละรุ่นมีเวลาที่จำกัดในโลกนี้ ถ้าไม่ส่งต่อความเชื่อในพระเจ้าให้คนรุ่นใหม่ พวกเขาก็คงมีแต่ศาสนาและประเพณีปฏิบัติในเรื่องของพระเจ้า แต่ขาดความเชื่อที่มีพลัง ความเชื่อที่มีชีวิต เรื่องทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับคริสตจักรในยุโรปหลายประเทศ ในอดีตประชากรในประเทศเหล่านั้นมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเกือบทั้งประเทศ การเข้าโบสถ์เพื่อนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันโบสถ์หลายแห่งไม่มีผู้นมัสการพระเจ้าแม้แต่คนเดียว หลายแห่งก็มีแต่คนแก่เพียงหยิบมือเดียวนมัสการพระเจ้า ซึ่งในอนาคตคงต้องปิดตัวลงเมื่อคนแก่เหล่านี้จากโลกนี้ไป
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือคนรุ่นใหม่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป กลายเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เชื่อพระเจ้า และเห็นว่าการไปโบสถ์เป็นเรื่องคร่ำครึ สำหรับคนโบราณหรือคนแก่ พวกเขาหยุดงานวันอาทิตย์แต่ไม่เข้าโบสถ์ นอนเล่นที่บ้าน ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปเล่นกีฬา ไปปิคนิค ความเชื่อของคนรุ่นก่อนไม่ได้ส่งต่อให้คนรุ่นลูกหลาน ไม่มีการส่งเสริมอย่างจริงจังให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทในการรับใช้พระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระเจ้าโดยตรง ไม่มีการอบรมและนำพระคำพระเจ้าไปใช้ในครอบครัว ในชีวิตประจำวัน พ่อแม่โยนภาระการสอนเรื่องพระเจ้าให้ครูรวีฯที่โบสถ์ทำหน้าที่นี้ แต่ตนเองทำหน้าที่คือเพียงแต่พามาโบสถ์ในวันอาทิตย์ เมื่อเด็กเหล่านี้ไม่ได้เห็นความจริงในพระคำพระเจ้าถูกนำไปใช้ในชีวิตของพ่อแม่ เขาจึงคิดว่าเรื่องความเชื่อในพระเจ้าเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นพิธีกรรม เมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่นก็ทิ้งไปเสียและหาแนวทางของตัวเองตามกระแสของโลก ขอให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ในคริสตจักรเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีความเชื่อที่เข้มแข็งมั่นคง