เรามักมองโครงสร้างและการทำงานของคริสตจักร ในแง่ของการบริหารและกิจกรรม มากกว่าที่จะมองในแง่จิตวิญญาณ
เมื่อเรามองงานคริสตจักรไปในทางบริหารและกิจกรรมต่างๆแล้ว การเลือกคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งต่างๆ ตามโครงการสร้างที่มีอยู่ เช่น ผู้ปกครอง มัคนายก เป็นต้น เราก็มักพิจารณาหาคนที่มีชื่อเสียงดี มีฐานะดี บริหารงานเก่ง หรือทำกิจกรรมต่างๆเก่งเข้ามารับใช้พระเจ้าในคริสตจักร โดย “มุ่งหมายว่าเขาเหล่านั้นจะมาช่วยทำงานเพื่อให้คริสตจักรเจริญ”

แต่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า งานหลักของคริสตจักรคืองานด้านจิตวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญสูงสุดเหนืองานอื่นใดๆ ส่วนงานบริหารหรืองานกิจกรรมนั้นก็นับได้ว่าสำคัญ แต่ก็ยังเป็นงานรองลงไป

ถ้าหากเราให้ความสำคัญกลับกัน โดยเน้นไปที่การบริหาร แต่ขาดจิตวิญญาณเสียแล้ว ก็จะส่งผลให้สมาชิกไม่สามารถเจริญเติบโต คริสตจักรไม่ขยาย ซึ่งเราควรระวังเรื่องเช่นนี้ให้มาก

ดังนั้น การสร้างทีมผู้นำที่จะเข้ามาร่วมงานกับศิษยาภิบาลนั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้ดี ควรเลือกคนที่เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองคริสตจักรซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวจักรสำคัญในทีมงานผู้นำ

ผู้ปกครองนั้นเป็นทั้งผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นผู้บริหารด้วย ซึ่งเป็นการทำงานในสองลักษณะในขณะเดียวกัน ดังนั้นการเลือกผู้ปกครองคริสตจักรจะต้องเลือกคนที่เหมาะสมและมีความรับผิดชอบ และรู้จักหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน และรู้จักจัดลำดับความสำคัญของงานในหน้าที่ด้วย เพื่อผู้ปกครองที่ได้เลือกนั้นจะสามารถทำงานร่วมทีมกับศิษยาภิบาลได้ และจะช่วยผลักดันคริสตจักรให้เจริญขึ้น

ในพระคัมภีร์ได้วางแผนแนวทางเลือกบุคคล ผู้จะมาทำหน้าที่ของผู้ปกครองได้อย่างชัดเจน และยังบอกถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองในพระธรรม 1ทิโมธี 3:1-7 ส่วนพระธรรมทิตัส 1:6-9 นั้นได้บอกถึงคุณสมบัติของผู้ปกครองที่จะมาเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ “…เป็นคนบริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเองและเป็นคนยึดมั่นในหลักคำสอนอันแท้ ตามที่ได้เรียนมาแล้วเพื่อจะสามารถเตือนสติด้วยคำสอนอันมีหลัก…” (ทิตัส 1:8-9 )

สำหรับหน้าที่ของผู้ปกครองนั้นมีกำหนดไว้ชัดเจน ทั้งด้านอภิบาล เลี้ยงดู ฟูมฟัก การปกครอง การเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งหน้าที่เหล่านี้เป็นงานหลักๆ ของผู้ปกครอง ซึ่งจะทำงานร่วมกับศิษยาภิบาลโดยส่งผลให้ทีมงานผู้นำสามารถดำเนินไปในแนวทางเดียวกันและเกิดผลดีต่อคริสตจักร

ขอให้เราพิจารณาหน้าที่ของผู้ปกครองด้วยกัน

1. เป็นผู้เลี้ยง ผู้ปกครองทำหน้าที่เหมือนเป็นศิษยาภิบาล ทำงานร่วมทีมงานของผู้นำ ( 1ปต.5:2-3 )
– เลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความดูแลของท่านไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วความเต็มใจ
– ไม่ใช่ด้วยเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยใจเลื่อมใส
– ไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้อยู่ใต้อำนาจ

2. เทศนาสั่งสอน (1 ทิโมธี 5:17)

3. อธิษฐาน
– เพื่อคนเจ็บป่วย (ยากอบ 5:14-15)
– เพื่อคริสตจักร (กิจการ 14:23)
– เพื่อคนงานรับใช้พระเจ้า (กิจการ 13:1-3)

4. ผู้ปกครองชี้ขาดและตัดสิน
– เรื่องของคริสตจักรและการลงวินัย (กิจการ15:2-29)
– เรื่องความขัดแย้งระหว่างสมาชิก (1 โครินธ์ 6:1-11)

5. ผู้ปกครองแต่งตั้งคนงานในคริสตจักร (1 ทิโมธี4:14)

6. ผู้ปกครองประชุมร่วมกัน เพื่อรับใช้พระเจ้า (กิจการ13:1-3)
– ตอบสนองการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

7. ผู้ปกครองรับผิดชอบในการรับและแบ่งปันช่วยเหลือกัน (กิจการ11:27-30)
หน้าที่ปกครองควรมีสัดส่วนกับจำนวนสมาชิก เพื่อแบ่งเบาภาระศิษยาภิบาล จำนวนสัดส่วนอาจเป็น 1:20 หรือมากกว่าเพื่อผู้ปกครองจะดูแลแกะของตัวในส่วนที่ได้รับมอบหมาย ในการเยี่ยมเยียน ในการติดตามเลี้ยงดูต่างๆ สัดส่วนนี้จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคริสตจักรจะพิจารณากันเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผมขอให้เรากลับมาเน้นโครงสร้างและการทำงานฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าจะเน้นคนที่มีชื่อเสียง ,ฐานะหรือการบริหารงานเก่ง และให้ผู้ปกครองได้เข้าใจหน้าที่ของตนเองเพื่อจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอย่างชัดเจน ซึ่งปรากฎไว้ในพระคัมภีร์เพื่อเราจะได้เดินถูกเป้าหมายและทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น

บทความโดย อนุสรณ์ บุญอิต ผู้ปกครองคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ วันที่ 10/05/2005