วันนั้นอากาศร้อน ฉันกับเพื่อนนั่งคุยกันที่ระเบียงบ้าน  เพื่อนของฉันต้องการใครสัก คนที่เธอสามารถปรับทุกข์ด้วย เธอเล่าว่า สามีของเธอไปติดพันกับหญิงอื่น เล่าไปพราง น้ำตาก็ไหลอาบแก้มด้วยความทุกข์ระทม ลูกๆของเธอก็แสดงความไม่พอใจ เงินทองในบ้านก็เริ่มฝืดเคือง ข่างเป็นภาพที่น่าเวทนาจริงๆ

“ไม่มีใครเข้าใจฉันหรอก” เธอตัดพ้อ “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงไมต้องเจอกับปัญหาพวกนี้”

ฉันแอบยิ้มในใจ แหม! ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่าก็วิเศษไปเลย มันดีเพียงไรถ้าชีวิตนี้ไม่มีปัญหา หรือมีเรื่องทำให้ปวดหัว แต่ความจริงกลับตรงข้าม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ตราบนั้นเราก็ยังต้องดิ้นรนต่อสู้กันต่อไป มีใครบ้างที่จะหลุดพ้นพันธกิจอันนี้

ฉันอดที่จะขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ สำหรับสามีที่เขาไม่คิดสนใจหญิงอื่น…แต่อีกนั่นแหละ ฉันก็ยังมีปัญหาคล้ายๆกับเพื่อนคนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันยากต่อความเข้าใจเหลือเกิน

เธอตกอยู่ในสภาพของคนสงสารตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอิจฉาชีวิตของฉัน ฉันไม่อาจไปตัดสินเธอได้ ซึ่งที่จริงแล้ว ฉันก็เป็นอย่างที่เธอเป็น นางอีวาก็เช่นกัน นางไม่คิดว่านางมีอิสระพอ และไม่รู้สึกชื่นชมยินดีเมื่ออยู่ในสวนเอเดนเลย แต่กลับกังวลถึงสิ่งที่ไม่มี ความรู้สึกไม่พอใจ เป็นศรเพลิงที่ซาตานใช้เป็นเหยื่อล่อลวงสตรีเพศมานักต่อนักแล้ว เราก็เหมือนกับนางอีวาตรงที่เราอยากมีอะไรๆมากขึ้น เราอยากให้สามีของเราเป็นคนเอื้ออาทรต่อเรา เหมือนกับที่อาจารย์…มีต่อภรรยาของท่าน เราอยากมีเสื้อผ้าหรูๆเหมือนกับที่…ใส่ ขอเพียงให้ลูกๆของเราฉลาดเหมือนกับ… และทำไมสามีของเราถึงไม่ได้รับเงินเดือนเท่ากับอาจารย์…ได้รับ ทั้งๆที่ทำงานอย่างเดียวกัน มันไม่ยุติธรรมเลย เราเริ่มเปรียบเทียบ และตั้งข้อสังเกตว่าเราทำงานมากกว่าภรรยาผู้รับใช้ท่านอื่นที่รู้จัก มันจะดีมั้ย? ถ้าเราไม่ต้องมานั่งรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร บางครั้งเราก็อยากมีลูกเพิ่มขึ้น…หรือไม่ก็อยากให้มีลูกน้อยลง

ความรู้สึกไม่พอใจเปรียบเสมือนบ่อน้ำเก่าที่มีน้ำสกปรก และที่นั่นมีความขุ่นเคือง เสียงบ่นที่ได้เพาะเชื้อในความมืด เสมือนโรคที่ยุงนำมาแพร่ และดูดชีวิตของเราให้ออกจากชีวิตสมรส และความสัมพันธ์ต่อกัน มันเต็มไปด้วยความสงสารตัวเอง และความอิจฉาริษยา แล้วในที่สุดมันจะจบลงด้วยการทำลายชีวิต ขาดความปิติยินดี

ให้เรามาพิจารณากันว่า อะไรเป็นรากเง่าของความรู้สึกไม่พอใจ คำตอบคือ ขาดการขอบพระคุณ ถ้าเพียงว่านางอีวาไม่พอใจในทุกสิ่งที่เธอมีด้วยใจขอบพระคุณแล้ว ก็น่าเป็นไปได้ว่า หนังสือปฐมกาลจะต้องบันทึกเรื่องราวต่างจากที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน การไม่ขอบพระคุณเป็นความบาปโดยตรง และจะเพาะเชื้อความบาปมากขึ้นในครอบครัวของเรา อาจารย์เปาโลบอกทิโมธีว่า “เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า” “จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี” เป็นคำสั่งที่มีทางเป็นไปได้

แฟรนเป็นเพื่อนมิชชันนารีของฉัน เธอมาจากอินโดนีเซียและสามีจากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งในสมอง เมื่อ 2 ปีก่อน มันช่างเป็นช่วงเลวร้ายสำหรับเธอเหลือเกินที่ต้องเฝ้าไข้สามี ซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ผู้นอนทรมานด้วยโรคร้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตอยู่นานหลายเดือน แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอก็ได้พบกับเพื่อนมิชชันนารีอีกคนที่สูญเสียภรรยาจากอุบัติเหตุรถยนต์

เมื่อต่างฝ่ายต่างประสบเรื่องโศกเศร้าที่คล้ายกันเช่นนี้ แฟรนก็ได้เล่าถึงสิ่งที่เธอคิดว่า “แม้ภรรยาของเขาจะตายจากไป แต่เขาไม่ต้องทุกข์ทรมานใจเป็นแรมเดือนเหมือนฉัน” ขณะที่เธอคิดเรื่องนี้อยู่เงียบๆนั้น เพื่อนมิชชันนารีได้พูดขึ้นว่า “คุณน่าจะดีใจนะเพราะคุณมีโอกาสอยู่กับสามีมากกว่าผม ทั้งคุณและเขาก็มีเวลาเตรียมใจสำหรับความตายที่จะมาถึง ไม่อย่างนั้นคุณจะทุกข์ใจมากกว่านี้ ถ้าเขาตายแบบกระทันหัน ”

ธรรมชาติของมนุษย์มักจะคิดว่า ไม่มีใครเป็นทุกข์มากเท่ากับที่ตนทุกข์ จุดนี้เองทำให้เกิดความหยิ่งทนงตน บางครั้งเราก็ชอบพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ต่อคนอื่น

แฟรนพูดต่อไปว่า “ฉันเคยคิดอยู่เสมอว่า เราสองคนตกอยู่ในความทุกข์ยากและเลวร้ายกว่าใครๆ แล้วฉันก็เริ่มขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดีทุกอย่างในเวลาที่ฉันคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น ขณะที่สามีล้มป่วย เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาความรู้สึกของฉัน”

ถ้าคุณเป็นเหมือนกับฉัน คุณก็จะค่อยๆเปลี่ยนน้ำในบ่อที่หัวใจของคุณ ในพระธรรมสุภาษิตบอกว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” ทั้งคุณและฉันสามารถเลือกที่จะพัฒนาจิตวิญญาณแห่งการขอบพระคุณ ในที่นี้มี 2-3 ประการที่ช่วยฉันได้

  1. ระวังสิ่งที่ออกมาจากปาก
    เราสามารถพูดในแง่ดีแทนการพร่ำบ่นต่อสามีหรือลูกของเรา ความรู้สึกไม่พอใจเป็นนิสัยในตัวเรา มันเริ่มมาจากการที่เราไม่ชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ และเราก็ไม่มีคำขอบพระคุณออกจากปากของเราเลย (ฉันไม่ได้หมายถึงคำพูดที่แสดงถึงจิตวิญญาณสูงด้วยการเสแสร้ง และจงใจให้คนอื่นประทับใจ) คำพูดง่ายๆตามธรรมชาตินั้นคงจะเป็นทำนองว่า “ฉันชอบสามีตรงที่เขารู้จักเอาใจใส่ต่อคนอื่นๆ…” หรือ “…ทำให้บ้านฉันมีชีวิตชีวา” “ต้นมะม่วงในสวนของเรานี่ดีจังนะ…” หรือ “…การรับใช้พระเจ้าดีตรงที่…” ให้เราสร้างบรรยากาศที่สดใส และสังเกตวิธีการหนุนใจต่อสามีและลูกๆ การขอบพระคุณเป็นบ่อเกิดแห่งการขอบพระคุณ
  2. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ
    พระเจ้าทรงตรัสว่าไม่เป็นการฉลาดเลยเมื่อเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งมันจะทำให้เกิดภาพลวงตาเราได้ เพราะเราไม่มีทางรู้เรื่องจริงและเรื่องทั้งหมดได้ สิ่งใดที่ถูกต้องของคนๆหนึ่ง ในสายพระเนตรของพระเจ้า อาจจะไม่ถูกต้องในสายตาของเราได้ เราจำเป็นต้องมั่นคงและยืนหยัดในความจริงว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่แน่นอนสำหรับเรา ซึ่งไม่เหมือนผู้อื่น ทำความเข้าใจกับหนามชีวิตในตัวเรา เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการให้เราเติบโตขึ้นในพระองค์

เมื่อคุณและฉันต่างก็ยอมรับว่าตัวเรานั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และเราก็เรียนรู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้าไปพร้อมกัน ในหนังสือทิโมธี อาจารย์เปาโลกล่าวถึงแม่ม่ายในคริสตจักรว่า “ฝ่ายผู้ใหญ่ที่เป็นแม่ม่าย ไร้ที่พึ่งและอยู่ตามลำพังผู้เดียวนั้น ก็ย่อมมอบความหวังไว้กับพระเจ้า และวิงวอนอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ขาด” คุณเห็นหรือยังว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อผู้หญิงที่อยู่ตามลำพังมีความต้องการในสิ่งจำเป็นอย่างแท้จริง… ที่จะจัดการกับความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เงินทองที่ต้องใช้จ่าย ความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวดึงให้เข้าใกล้และเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้ามากขึ้น นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว แต่ถ้าเราไม่เผชิญกับความเจ็บปวดในชีวิตเลยนั้น เราก็จะไม่มีอะไรที่จะผลักดันให้เราเข้าใกล้พระเจ้า ฉะนั้น ยามทุกข์ยากลำบาก เราอาจจะขุ่นเคืองใจ บ่น หรือไม่ก็เปรียบเทียบ… หรือสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เราเข้าหาพระเจ้าและร้องทูลว่า “โอ พระบิดา ข้าพระองค์เจ็บปวดเหลือเกิน พระองค์จะทรงสอนสิ่งใดกับข้าพระองค์หรือ และข้าพระองค์จะแก้ปัญหานี้อย่างไรได้”

หวนกลับมาคิดถึงความหลังเมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้สอนเราบ่อยๆ ว่าให้รู้จัก “ขอบคุณ” จำได้มั้ยว่า สมัยที่คุณหัดเดินเตาะแตะ? นั่นแหละคือสิ่งที่พระบิดาทรงมีพระประสงค์ให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ขอให้เราพูดกันอีกสักครั้งเถิด เดี๋ยวนี้เลย “…ขอบคุณ”

โดย แมรี่ ดันแฮม 26/12/2003