ความหมาย “เมื่อบอกว่าเรารู้จักพระเจ้า”

เปาโลเทศนาในกรุงเอเธนส์ ที่สภาอาเรโอปากัส (เนินเขาอาเรโอปากัส)เรื่อง แท่นบูชาแด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก (พวกเขานมัสการทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก) ด้วยความรู้สึกว่าอาจจะยังหลงเหลือพระเจ้าที่เขาไม่ได้แสวงหา เพราะไม่รู้จึงนมัสการเผื่อไว้ ในคำเทศนานั้นเปาโล ประกาศชัดเจนว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (โปรดอ่านและทบทวน กจ 17: 16 – 31)

แต่เมื่อท่านเปาโล ถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินในช่วงสุดท้ายของชีวิต ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขียนก่อนถูกประหารชีวิต เพราะการรับใช้พระเจ้า ที่เขียนถึง ทิโมธี เปาโลยืนยันว่า “แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ” ( 2 ทธ 1 : 12) ซึ่งเราจะเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างชาว เอเธนส์ กับ เปาโล ที่เราน่าจะนำกลับมาทบทวนตนเองว่า เรารู้จักกับพระเจ้าที่เราเชื่ออยู่อย่างแท้จริงหรือไม่ เราบอกว่าเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเชื่อแบบใหน การนมัสการพระองค์ของเรา และการดำเนินชีวิต เป็นเพียงการประกอบพิธีการทางศาสนา การปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ เป็นเหมือนคนเรียนวิชาศีลธรรม ที่เพียงท่องเอา แต่ไม่มีแนวทางการดำนินชีวิตที่สอดคล้องกันหรือไม่

ขอหนุนใจให้เราทุกคน ตั้งเป้าหมายที่จะรู้จัก และมีชีวิตที่เข้าสัมพันธ์สนิทเป็นส่วนตัวกับพระองค์ เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อทุกคน (ยรม 9:23-24, ยน 15 : 1 – 5, ยก 4: 8 )

การรู้จักพระเจ้าคือการมีความเข้าใจในความเชื่อ ทำไมเราจึงเชื่อ รู้ว่าเราเชื่ออะไร และเรามีความมั่นใจอย่างไร ขอให้เรามาตรวจสอบดูว่าเรารู้อะไรบ้าง

1 เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอด (ยน 4:41-42) ชาวสะมาเรียได้อยู่กับพระเยซูสองวัน หลังจากที่ฟัง และได้สัมผัสถึงพระเมตตาของพระองค์ (ปกติคนยิวจะดูหมิ่นและไม่คบหาคนสะมาเรีย (ยิวที่เป็นลูกครึ่ง) ทำให้เขาบอกกับหญิงสะมาเรียผู้ที่แนะนำให้พวกเขามาหาพระเยซูว่า การได้ยินพระองค์ทำให้เขามั่นใจว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยโลกให้รอด เมื่อเราได้ยินเรื่องของพระองค์และตั้งใจแสวงหา เราก็จะสัมผัส และประจักษ์ถึงความจริงนี้ (กจ 4:12, 16:31, 17:27, โรม 10:9-10, 1 ยน 4:14)

2 เรารู้ว่า พระเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ตลอดนิรันดร์ ( โยบ 19:25) เมื่อโยบเผชิญปัญหามากมาย และยังถูกเพื่อนรุมกันชี้นิ้วว่าเขาต้องทำอะไรผิดบาปจึงต้องได้รับทุกข์อย่างมหันต์ เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตน และกล่าวอย่างมั่นใจว่า พระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และเขาจะได้พบกับพระองค์ เช่นกัน คริสตชนเชื่อในการทรงพระชนม์ของพระเยซู การถูกตรึงและฝังไว้สามวัน พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ ปรากฎแก่เหล่าสาวก หลังจากนั้นสาวกออกไปประกาศ สาระสำคัญของพระกิตติคุณคือ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ ทุกคนสามารถพบกับพระองค์ได้ เรื่องนี้ได้มีผู้ที่พยายามหักล้างแต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จ มีผู้ที่พยายามหาเหตุผลมาต่อสู้โดยการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายส่วใหญ่หันมารับเชื่อและติดตามพระองค์ (ฮบ 13:8, 11:6, 1 คร 15:3-4, กจ 2:14-36, 3:11-26, 4:5-12 ฯลฯ )

3 เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้ที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง (โรม 8:28) เราต้องตระหนักว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาปและคนบาปอยู่ ชีวิตคริสเตียนจึงไม่ใช่ชีวิตที่เสวยสุข อย่างที่มีคำสอนตกขอบมักจะบอกว่า ถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วมีปัญหา หรือยากจน หรือเจ็บป่วยแสดงว่าขาดความเชื่อ แต่ในความเป็นจริง พระเยซูทรงบอกเราว่าจะประสบความทุกข์ยาก ( ยน 16:33, โรม 8:35-38, 1ปต 4:12, สดด 34:19) เปาโลบอกว่าชีวิตต้องพบสถานการณ์ต่าง ๆ (ฟป 4:12-13) แต่พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงสถิตกับเรา บางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้เราผ่านความยากลำบาก เพื่อเตรียมอนาคตที่ดีให้กับเรา เมื่อเราผ่านวาระนั้นไป เราจะมั่นคงยิ่งขึ้น ตัวอย่างอย่าง โยเซฟ จากพระธรรมปฐมกาล บทที่ 37 – 50 ชีวิตต้องเผชิญ ถูกพี่ชายริษยา ขายไปเป็นทาส แต่พระเจ้าทรงสถิตกับเขา ต่อมาถูกใส่ร้าย ต้องไปติดคุกทั้งที่ไม่มีความผิด แต่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แล้วยังถูกลืม รวมระยะเวลา 13 ปี แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงยกชูขึ้น ออกจากคุกกลายเป็อุปราชของอียิปต์ในวันเดียว เหตุการณ์ของชีวิตได้สร้างใจที่เมตตา ทำให้เขาช่วยชีวิตคนมากมายในช่วงกันดารอาหาร 7 ปี และยังมีใจอภัยให้แก่พี่ที่ทำร้ายเขา นอกจากนั้นพระเจ้ายังขัดเกลานิสัยชอบอวด ขี้ฟ้องไปจากชีวิต ดังนี้ขอให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยเราแม้ทรงอนุญาตให้เราผ่านความยากลำบากด้วย

เรารู้ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา ( 1 ยน 3:2) วันที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ทูตสวรรค์ได้บอกพวกสาวกว่าพระเยซูจะกลับมาอย่างที่เขาเห็นพระองค์เสด็จขึ้นไป (กจ 1:11) พระเยซูเองทรงบอกเราว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา (มธ บทที่ 24 ฯลฯ) และกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงกายใหม่ให้เรา ทั้งคนที่ตายไปแล้ว และคนที่ยังเป็นอยู่ ซึ่งเป็นความหวังสำหรับผู้เชื่อทุกคน ( 1 ธส 4:13 – 17, 2 คร 5:1 – 10, 1 คร 15:51 – 58)

ดังนั้ขอให้เรามั่นคงอยู่ในความเชื่อ และขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีประสบการณ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ เมื่อต้องประสบกับความยากลำบากให้เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้า และวางใจว่าพระองค์จะไม่ทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า ( ยน 14:18, 27) ถ้าเราสามารถจะบอกเหมือนเปาโลว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารู้และมั่นใจในพระเจ้าได้

บทความโดย ศจ.เดชา อังคศุภรกุล
30/6/2016