ประวัติความเป็นมาของเรื่องนี้เริ่มจากอิสยาห์พยากรณ์ (อสย.28:11) ซึ่งอ.เปาโลได้กล่าวอ้างถึงใน (1คร.14:22) ต่อมาโยเอลได้พยากรณ์(โยเอล2:28) และคำพยากรณ์สำเร็จ จริงในกิจการ บทที่ 2:1-4
ยอห์น บัพติสโตได้กล่าวถึงงานของพระมาซีฮาอย่างหนึ่งคือการให้บัพติสมาด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ (ลก.3:16 ; ยน.1:33)
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้กำชับสาวกให้รอคอยเพื่อรับตามที่พระบิดาได้สัญญาคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์(กจ.1:4,5)
หลังจากวันเพนเตคอส ก็มีการรับบัพติสมาในพระวิญญาณ เกิดขึ้นอีกซึ่งบันทึกไว้ในกิจการ (กจ.4:31;8:17;10:44,45;19:6)โดยเฉพาะใน กจ.19:6 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากวันเพนเตคอส ประมาณ 21 ปีแล้ว

ในสมัยคจ.ยุคต้นและยุคมืด (ยุคกลาง)
จัลตินมาร์ไทร์(คศ.108-168)กล่าวถึงเรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณ ในจดหมายที่เขียนถึงผู้นำยิวที่ชื่อ ไทร์โฟ
ไอเรนิอัส (คศ.130-202) ก็กล่าวถึงการพูดภาษาแปลกๆว่าการพยากรณ์ในคริสตจักรคลีเมนต์ แห่งอเล็กซันเดรีย (คศ.155-220)
เทอร์ทิวเลียน (คศ.160-222)
แต่ยุคต่อ ๆ มาเริ่มไม่ค่อยเชื่อหรือยอมรับอีกเหมือนในยุคต้น เช่นออกัสติน (354-430) ผู้นำคจ.ถือว่า บัพติสมาในพระวิญญาณ และการพูดภาษาแปลก ๆ เป็นของยุคอัครทูตเท่านั้น
เมื่อถึงยุคสมัยของโรมันคาธอลิคบัพติสมาในพระวิญญาณกลายเป็นเพียงพิธีหนึ่งทางศาสนาโดยจัดให้ผู้รับบัพติสมาในน้ำเสร็จแล้วก็มาเข้าห้องอธิษฐาน บาทหลวงจะวางมือและเจิมด้วยน้ำมัน แสดงว่าได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณ และหมายสำคัญเรื่องภาษาแปลกๆ ไม่มีการพูดถึงอีกเลย

ในสมัยปัจจุบัน (สมัยใหม่)
จากประมาณคศ.1000เป็นต้นมาคริสตจักรคาทอลิกถือว่า การพูดภาษาแปลก ๆเป็นเครื่องหมายแสดงว่าผีเข้า ภาษาแปลกๆในความหมายของพระคัมภีร์พวกเขาเชื่อว่าเป็นความสามารถพิเศษ ที่พระเจ้าประทานให้เพื่อจะพูดและเข้าใจภาษาอื่น ๆ ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
ในสมัยยุคการปฎิรูปศาสนาพวกโปสแตสแตนท์ได้เริ่มกลับมายึดเรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณ อีกพวกเควกเกอร์ ซึ่ง เริ่มราว คศ.1350 เป็นพวกที่เชื่อและรับ บัพติสมาในพระวิญญาณ ต่อมาพวกเมธอดิสท์(1739) ก็รับเรื่องนี้ผู้นำ ผู้ก่อตั้ง คือ จอห์น เวสเล่ย์ไดัรับประสบการณ์ บัพติสมาในพระวิญญาณ
ในศตวรรษที่ 19เกิดกลุ่มเพนเตคอสขึ้นมา ที่ชื่อว่ากลุ่มอะพอสโตริค ผู้ก่อตั้งคือ เอ็ดเวอร์ค เออร์วิง(1792-1834) ถูกขับไล่จาก คริสตจักรสก็อต เพรสไบทีเรียน เนื่องจากประสบการณ์บัพติสมาในพระวิญญาณของเขาต่อมามีสาขาเพิ่มขึ้นในอังกฤษในยุโรปและในสหรัฐ เออร์วิงยืนยันว่าหมายสำคัญของการรับบัพติสมาใน พระวิญญาณ คือพูดภาษาแปลก ๆ

ผู้นำคริสตจักรสำคัญหลายคนในสหรัฐได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณ ซาลพินเน่ย์ (1792-1875) DR.Moody (1837 – 1899)

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จำนวนคริสเตียนที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณ ในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว R.A.Torrey (1856-1928) ผู้เขียนตำรา “พระคัมภีร์สอนว่าอย่างไร ?”และ AB. Simpson (1843-1919)ได้เขียนเรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณ ทำให้รู้จักแพร่หลาย คจ.ต่าง ๆ เริ่มยอมรับเรื่องนี้มากมายในสหรัฐ

ในวันที่ 1 มกราคม1901 ที่โรงเรียนพระคริสตธรรม เบธเอล เมือง โทเปคา รัฐแคนซัส นักเรียนพระ คริสตธรรมได้รับมอบหมายจากครูใหญ่ ศจ.ชาล พาราม ให้นักศึกษาเรื่องหมายสำคัญของบัพติสมาใน พระวิญญาณพวกเขาศึกษาด้วยกันและสรุปว่า การพูดภาษาแปลก ๆ เป็นหมายสำคัญ ของการรับบัพติสมาใน พระวิญญาณ และพวกเขาก็อธิษฐานจนได้ รับบัพติสมาในพระวิญญาณ และพูดภาษาแปลกๆ จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังรัฐอื่น ๆ ทางตอนกลางและตอน ใต้-เท็กซัส และ ต่อมาได้เกิดคณะเพนเตคอสขึ้นเนื่องจาก คริสเตียนดั้งเดิมไม่ยอมรับสมาชิกที่พูดภาษาแปลกๆ ใน ปี คศ.1909 จึงเกิด คริสตจักรเพนเตคอสขึ้นหลายแห่ง ต่อมาค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นคณะเพนเตคอส หลายกลุ่มในราว คศ.1910-1920

การก่อตัวครั้งล่าสุดที่เรียกว่ากลุ่มคาริสแมติค Charismatic ได้เริ่มขึ้นใน ปี คศ.1960 จาก คริสตจักรเซนต์มาร์คอีพัสโคปอลในเมืองแวนนาย คาลิฟอร์เนีย โดยผู้นำ ชื่อ เดนนิสเบนเนท ไดัรับบัพติสมาในพระวิญญาณและต่อมาแพร่กระจายไปยังผู้นำอื่นๆและกระจายไปยังคณะต่างๆมากมายรวมทั้ง พวกคาธอลิก

ปัจจุบันนี้กลุ่มคาริสแมติคยังคงดำเนินอยู่ต่อไปบางคนก็ออกจากคริสตจักรเดิมมาอยู่เพนเตคอส บางคนก็สมัครใจอยู่ คจ.เดิม แต่ก็แสดงออกถึงประสบการณ์ บัพติสมาในพระวิญญาณ

บทความโดย ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล