ข้าพเจ้าอาจจะเป็นชาวสุขุมวิทที่ป่วยมากสักหน่อย ตอนกลับมาใหม่ๆข้าพเจ้าต้องปรับตัวอย่างมากกับการจลาจลบนท้องถนน ต้องทำใจกับสภาพถนนแถวบ้านข้าพเจ้าที่มักจะกลายเป็นลานจอดรถที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่เสมอ อีกทั้งต้องปรับตัวเข้ากับระบบราชการ ทุกครั้งที่พบกับความสับสนวุ่นวายในชีวิตอาจารย์ใหม่ ทำให้ ข้าพเจ้าต้องปรับตัวอย่างมากกับความล่าช้า ความซับซ้อนที่น่าเวียนหัว ของระบบราชการ หลายครั้ง ข้าพเจ้าอดที่จะเครียดไม่ได้ บางทีก็แสนจะ เหนื่อยและเบื่อหน่าย อีกทั้งมลพิษต่างๆที่ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นโรคแพ้อากาศ (เนื่องจากไม่ค่อยจะมีอากาศดีๆเหลือให้หายใจมากนัก) สภาพเหล่านี้มักจะทำให้ข้าพเจ้าหวลคิดถึงชีวิตระหว่างที่ข้าพเจ้าเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้
52_1
มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเรียนนั้นชื่อมหาวิทยาลัยโอซาก้า หรือที่เราเรียกกันว่าฮันได ซึ่งมีทำเล อยู่ชานเมือง มองเห็นภูเขาล้อมรอบ ข้าพเจ้าชอบมากเพราะทำให้รู้สึกว่าอยู่ใกล้ธรรมชาติอยู่เสมอ ข้าพเจ้ามีชีวิตที่เรียบง่ายโดยการปั่น B M (x)ไม่ใช่ W (เป็นเพียงจักรยานยี่ห้อ (X)) ไปที่แล็บทุกวันโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที อากาศที่นั่นดีมากเหมือนกับเวลาสูดอากาศได้เต็มปอดบนยอดดอยสักแห่ง ถ้าเรียนหนัก หรือรู้สึกเครียดอยากพักบ้าง ก็สามารถนั่งรถไฟเข้าไปเดินเล่น ซื้อของในเมืองได้โดยใช้เวลาเพียง 20 นาที โอซาก้าเป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในแถบคันไซ และเหนืออื่นใดแทบไม่มีประวัติเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมาก่อนเลย และนั่นหล่ะคือเหตุผลหนึ่งที่ข้าพเจ้าเลือกไปเรียนที่นั่น
ชีวิตนักเรียนต่างชาติในมหาวิทยาลัยหนักมาก สาขาที่ข้าพเจ้าเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพทางสิ่งแวดล้อมนั้นเน้นหนักในการทำวิจัยในห้องทดลอง ดังนั้นข้าพเจ้ามักจะขลุกอยู่ไม่ในห้องทดลอง ซึ่งก็จะเป็นห้องสมุดวันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ตอนนั้นเศรษฐกิจยังดีอยู่ มีความปลอดภัยสูง ข้าพเจ้ามักจะขี่จักรยานกลับบ้านหลังเที่ยงคืนเสมอ ๆ สำหรับคนญี่ปุ่นรุ่นเก่านั้นขยันและจริงจังมาก ส่วนคนรุ่นใหม่นั้นดูราวกับว่าขยัน บางคนก็เป็นเด็กดีขยันจริงๆ แต่ส่วนมากก็มักจะทำท่าขยันให้ดูกลมกลืน สำหรับนิสัยคนญี่ปุ่นและ วิธีการคิดของคนญี่ปุ่นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอีกชาติหนึ่งที่มีความซับซ้อนและน่าเวียนหัวมากชาติหนึ่งทีเดียว อาจจะเป็นเพราะสังคมของพวกเขาจะต้องเก็บความรู้สึกมากเกินไป ในสายตาของข้าพเจ้า ถ้าจะให้ทำความเข้าใจพวกเขาอย่างถ่องแท้ ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองยังเข้าใจพวกเขาได้น้อยเต็มที แต่ก็แปลกที่ญี่ปุ่นนั้นมีเสน่าห์ชวนให้ข้าพเจ้าหลงไหลอยู่เสมอ เอาไว้ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสดี ๆ เช่นนี้อีกข้าพเจ้าจะแบ่งปันให้ฟังในวันหลัง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนญี่ปุ่นคิดว่าตัวเองเป็นชนชาติชั้นแนวหน้าที่สุดในเอเชีย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะดูถูกพวกเรา ว่าไม่ต่างจากเขมร ลาว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงไทยใจหาญทั้งหลายที่ไปประกอบอาชีพก็ได้สร้างวีรกรรมไว้โดดเด่นมากมาย ซึ่งล้วนแล้วจะวนเวียนไม่พ้นโรงพักและศาลเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งบางครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นอาสาสมัครไปช่วยเกี่ยวกับการเป็นล่ามในคดีต่างๆของผู้หญิงเหล่านั้นก็ต้องอธิฐานขอพระเจ้าชำระจิตใจของข้าพเจ้าให้ความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับคุณผู้หญิงประเภทนี้หมดไป ดังนั้นชีวิตการเป็นนักเรียนหญิงไทยในแดนอาทิตย์อุทัยนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายเลย
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเผชิญกับปัญหา อุปสรรคมากมายทั้งเกี่ยวกับการเรียน การทำวิจัยและการดำเนินชีวิต พระเจ้าได้สอนข้าพเจ้าหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความอดทน และความถ่อมใจ หลายครั้งที่สถานการณ์บีบคั้น เหมือนพบกับทางตัน ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเชื่อและวางใจเหมือนเด็กทารก ชีวิตในช่วงนั้นพระคุณ พระพรมากล้นได้หลั่งไหลเข้ามาในชีวิติไม่ขาดสาย พระองค์ทรงห่วงใยดูแล ทรงจัดเตรียมหนทางที่ดีและทางออกที่ดีเลิศให้ลูกของพระองค์เสมอ เมื่อมองย้อนไปในอดีตข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าพระองค์ไม่ได้ทรงจัดเตรียมสิ่งดีอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับ ณ.เวลานั้นเท่านั้น แต่ทรงจัดเตรียมเพื่อ หล่อหลอม เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นคนที่ใช้การได้มากขึ้นสำหรับปัจจุบันนี้อีกด้วย ทำให้ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำงานให้ประเทศชาติได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญข้าพเจ้ามีความสุขกับงานมาก ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าเสมอสำหรับช่วงเวลา ช่วงชีวิตในการศึกษาของข้าพเจ้า โดยเฉพาะช่วงเวลาอันมีค่าเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้มีประสบการณ์ในการเผชิญปัญหาต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวลำพัง แต่มีพระองค์ทรงสถิตย์อยู่ด้วยเสมอ ในประสบการณ์ที่มีค่าเหล่านั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชวนให้ข้าพเจ้ากลัวจนจับใจไม่รู้ลืม
เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2538 ตอนตีห้าสิบเจ็ดนาที ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกเขย่าให้ตื่นอย่างแรง เมื่อตกใจตื่นขึ้นมาก็งง ! ว่า เอ ! เราอยู่คนเดียวนี่นา เมื่อคิดได้ว่าต้องเป็นแผ่นดินไหวแน่ๆ ข้าพเจ้าตกใจมากจนตัวสั่น ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าไม่เคยตกใจจนตัวสั่น แบบนี้มาก่อนเลย เรียกว่าตกใจสุดขีดครั้งแรกในชีวิต ก็ว่าได้
ข้าพเจ้าตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก วิ่งออกจากบ้านมาก็เห็นคนญี่ปุ่นจับกลุ่มคุยกันหน้าบ้าน ข้าพเจ้าลืมภาษาญี่ปุ่นไปชั่วขณะ ฟังไม่ได้ศัพท์เลย จำได้ว่าหนาวมากสั่นทั้งข้างนอกข้างใน ตับไตไส้พุงของข้าพเจ้าแทบจะออกมาแกว่งไกวกันให้วุ่นวาย แถมอพาร์ตเมนที่ข้าพเจ้าอยู่ก็ไม่มีคนต่างชาติเลยมีข้าพเจ้าเป็นกระเหรี่ยง (ตื่นตูม ใจเต้นตูมตาม) อยู่คนเดียว เลยยิ่งทำให้ข้าพเจ้าทั้งสับสน กลัวและเหงาวังเวงจับใจ
53_1 ข้าพเจ้ากลับเข้าไปในบ้านและคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้า ว่าข้าพระองค์จะทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีพระองค์เจ้าข้า กลัวเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่รู้จักเลย แผ่นดินไหวต้องทำอย่างไรบ้างก็ไม่มีอยู่ในหัวเลย คิดอะไรไม่ออกจริงๆ อธิษฐานร้องไห้กับพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจ จนการสัมผัสถึงการทรงสถิตย์ รู้สึกความกลัวที่สั่นสะท้านอยู่ในใจสงบลงมาก ข้าพเจ้ารู้สึกมั่นใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นานมีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องหลังแผ่นดินหว ( after shock ) มาเขย่าขวัญให้กระเจิงอีก 2 ครั้งติด ๆกัน ความคิดแว๊บแรก ! ข้าพเจ้าคิดจะโทรกลับบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่จับใจ อยากโทรไปบอกว่าข้าพเจ้าสบายดี แค่เขย่าแรง ๆ แก้วตกมาแตก 4-5 ใบ เท่านั้นเอง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้โทร เพราะข้าพเจ้ากลัวจะทำให้ที่บ้านเป็นห่วง ข้าพเจ้ากลัวว่าจะแสดงความตกใจมากจนเกินเหตุ ข้าพเจ้าคิดว่าสงบจิตสงบใจได้แล้วจะรีบโทรไปทีหลัง นั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของข้าพเจ้าในครั้งนั้น ข้าพเจ้ารีบแต่งตัวปั่น B M (X) ไปที่แล็บ พบว่ามีเครื่องมือล้มระเนระนาด มีเครื่องแก้วแตกกระจัดกระจาย ข้าพเจ้ารีบเก็บกวาดเศษแก้วเหล่านั้น สักพักโปรเฟสเซอร์ของข้าพเจ้ามาถึง จำได้ว่าหน้าอาจารย์เศร้ามาก เศร้าแบบที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าใจคอหดหู่อย่างไรบอกไม่ถูก อาจารย์สอนข้าพเจ้าว่า ถ้ามีแผ่นดินไหวอีกให้อยู่ในบ้าน เพราะบ้านของข้าพเจ้าเป็นคอนกรีตแข็งแรงดี ถ้าไหวแรงมาก ๆ ก็ให้เข้าไปอยู่ใต้โต๊ะที่แข็งแรงเพราะ ของจะได้ไม่หล่นมาใส่ และให้หาอาหารและน้ำเตรียมไว้ใกล้ตัวด้วย ห้ามออกนอกบ้านเพราะถ้าต้นไม้ เสาไฟฟ้า อะไรต่ออะไรล้มฟาดลงมาจะยิ่งอันตราย นั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว ข้าพเจ้านึกในใจและขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราไม่เป็นอะไรรุนแรงกันมาก ข้าพเจ้าปลอบใจตัวเองตามประสาคนมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ใกล้เที่ยงเพื่อนนักเรียนญี่ปุ่นมากที่แล๊บมากขึ้น มีการเอาโทรทัศน์มาเปิด ข้าพเจ้าถึงกับตื่นตะลึงตาค้าง ช็อค-กุ (ต้องตกใจแบบญี่ปุ่นเสียให้เข็ด) เพราะความเสียหายรุนแรงเหลือเกิน ที่เมืองโกเบ (เมืองโปรดสุดโรแมนติคของข้าพเจ้า) ตึกพังระเนระนาด สะพานหัก แถมยังไฟไหม้และดับไม่ได้อีก เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเดือนที่หนาวที่สุดและอากาศแห้งมาก ผู้คนกำลังนอนหลับโดยมีการเปิดเครื่องทำความร้อนแทบทุกบ้าน ซึ่งส่วนมากจะใช้ระบบก๊าซยิ่งทำให้เกิดไฟไหม้หลายแห่ง ข้าพเจ้าคิดขึ้นมาได้ รีบจะโทรกลับบ้าน แต่ก็สายเกินไปถึงตอนนั้นการสื่อสารขัดข้องติดต่อไม่ได้เสียแล้ว ประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และของแบ่งปันกับพี่น้องว่าถ้าอยู่ไกลต่างแดนโดยเฉพาะน้องๆที่ไปเรียนหนังสือ ควรจะส่งข่าวถึงบ้านทันที (รายงานตัวทันที)ทุกครั้งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะทางบ้านจะได้สบายใจ คุณพ่อ-คุณแม่ท่านได้แวะเวียนไปเยี่ยมข้าพเจ้าหลายครั้ง เราชอบไปโกเบ (คงเป็นเพราะข้าพเจ้าชอบกระมังท่านเลยพลอยชอบไปด้วย) ซึ่งคุณแม่ท่านบอกข้าพเจ้าทีหลังว่าจากบ้านข้าพเจ้านั่งรถไฟด่วน ไปเพียง 25 นาทีเท่านั้นมันใกล้เหลือเกินใครจะไปรู้ว่าศูนย์กลางอยู่ที่โกเบแล้วโอซาก้าจะแทบไม่เสียหายเลยขนาดนี้ มีเรื่องตลกที่พวกเราขำไม่ออกจริงๆคือว่าพวกนักเรียนไทย ที่อยู่หอคันไซ ซึ่งเป็นหอของทุนมอนบูโช (ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น มอนบูโชหมายถึงกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งระบบของเขาไม่ได้แบ่งเป็นทบวงแบบของเรา) ที่จัดให้เป็นที่ทราบกันดีว่าห้องนั้นเล็กมาก ซึ่งพี่ไทยแทบทุกคนล้วนมีรสนิยมสูงมักจะมีพวกเครื่องเสียงดีๆ อุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นดีหลายอย่างซึ่งมักจะบรรจุเข้าไปในห้องไม่หมด แต่ด้วยความเป็นอัจฉริยะของพวกเรา การวางซ้อนเทินกันขึ้นไปเป็นกำแพงอิเล็กโทรนิกจึงมักจะปรากฏให้เห็นแทบทุกห้อง (อันนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เนื่องจากความรวยของพวกเราและไม่ถือเป็นความประมาทแต่ประการใดเพราะ โอซาก้าไม่เห็นเคยมีแผ่นดินไหวสักทีนี่นา) มีน้องสองคนที่โดนทีวีตกมาใส่หัว น้องผู้ชายคนแรกที่มีความบ้าบิ่นแบบน่ารักเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ครั้งแรกมันสั่นแรงอยู่นะพี่ แต่ก็ขี้เกียจตื่น นอนต่อ ครั้งที่สองก็โอเคนะพี่ กะว่าจะตื่นอยู่แล้วเชียว ปรากฏว่าครั้งที่สาม เจอทีวีเข้าไปเต็มเต็มแบบหายง่วงเลย แถมน้องผู้โชคดีรายที่สองคือน้องที่อยู่แล๊บเดียวกับข้าพเจ้าเอง เรื่องของเรื่องก็คือว่า ข่าวลือแบบปากต่อปากของพี่ไทยนี่เป็นอะไรที่ดูไม่จืดจาง (และคงทนอยู่คู่ฟ้าเมืองไทยทุกยุคทุกสมัย แถมยังนำติดตัวไปทุกหนทุกแห่งอีกต่างหาก) พอดีทางกงศุลไทยถามใครไปก็ไม่ทราบที่หอคันไซว่ามีใครเป็นอะไรบ้างมั้ย นักเรียนไทยผู้หวังดี ก็รีบรายงานไปว่ามีน้องโดนทีวีตกใส่หัวสองคนไม่เป็นอีหยังมากนักดอก แค่หัวโน ปรากฏว่าด้วยประการละชะไหนไม่ทราบมีข่าวมาออกที่วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่า นาวสาวโดนทีวี นามสกุลแค่หัวโน นักศึกษาคณะเภสัช มหาวิทยาลัยโอซาก้าได้รับบาดเจ็บอยู่โรงพยาบาล ดังนั้นที่บ้านข้าพเจ้าและบ้านนางสาวโดนทีวี แค่หัวโน ก็ถึงกับอาการโคม่าไปตาม ๆ กันทันที เป็นความโกลาหลและยังความวิตกกังวลอย่างหาที่เปรียบมิได้จริงๆ กว่าจะจบเรื่องนี้ลงได้คุณแม่กับคุณยายข้าพเจ้าก็เสียน้ำตาไปหลายปีบทีเดียว (นี่ยังไม่นับความทุกข์ในอีกหลายรูปแบบอย่างประมาณไม่ถูกเชียวหล่ะ) นับแต่นั้นพวกเพื่อนญี่ปุ่นและอาจารย์มักจะล้อกันเสมอว่าเรามีคนดัง (หัวโน)ได้ออกวิทยุแห่งประเทศไทยอยู่ในแล็บด้วย ข้าพเจ้ายังถูกคุณแม่ต่อว่าเป็นครั้งคราวตราบทุกวันนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และข้าพเจ้าก็ขอสารภาพตรงนี้เลยว่าข้าพเจ้าเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้โทรมาบอกว่าข้าพเจ้าสบายดี เพียงแค่สติแตกเท่านั้นเอง 54_1 หลังจากนั้นข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพขัวญกระเจิง อาจเรียกว่าสติแตกเลยก็เห็นจะได้ เพราะความกลัวเกาะกินหัวใจ ไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานวิจัยต่อเลย การสั่นสะเทือนต่อเนื่องหลังแผ่นดินไหว( after shock) ก็ถี่มากเรื่อยเป็นเดือนๆ ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว เสียงกรีดร้องอันโหยหวนของคอนกรีตเวลาสั่น เสียงของในบ้านสั่นดังๆ ทำให้ข้าพเจ้าหวาดผวาทุกครั้ง หลายครั้งที่ข้าพเจ้าทั้งกลัวทั้งเหงาจนอาการเอนเอียงไปทางคนเป็นโรคประสาท (อ่อนๆ) เพื่อนๆคนไทยที่อยู่หอเดียวกันก็พากันอพยพมานอนด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าต้องอยู่คนเดียว แต่แน่หล่ะมีพระเจ้าอยู่ด้วยเสมอนับเป็นความอุ่นใจอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ข้าพเจ้าถึงกับอธิษฐานบอกกับพระเจ้าว่าข้าพเจ้าฝากทุกย่างก้าว ทุกวินาทีไว้กับพระองค์ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะรับข้าพเจ้าไปข้าพเจ้าก็ยอม (คือต้องสารภาพตรงนี้ว่าไม่ถึงกับพร้อมเพราะถ้าพร้อมคงไม่กลัว) แต่ก็อดมีเงื่อนไขกับพระเจ้าไม่ได้ว่าพระองค์เจ้าข้า ขอแบบไปอยู่กับพระองค์แบบสบายๆไม่ต้องเจ็บหรือทรมานพิกลพิการ เพื่อนข้าพเจ้าหลายคนที่เรียนที่โกเบ มหาวิทยาลัยพัง ห้องแล๊บพังต้องกลับบ้าน ทางการบินไทยใจดีให้ตั๋วราคาถูกพวกเรากลับบ้านได้ แต่อาจารย์ข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าว่าถ้ากลับบ้านก็ไม่ต้องเอาปริญญาเอก ข้าพเจ้าก็เลยอดทำเท่ห์ลี้ภัยกับเขาบ้าง รองศาสตาจารย์ในห้องแล๊บของข้าพเจ้าอพาร์เมนต์พังอยู่ไม่ได้ เพื่อนข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าว่าเราทุกคนต้องเตรียมถุงกู้ชีพ ( Rescue bag) ซึ่งประกอบไปด้วย เงิน พาสปอร์ต และของจำเป็น ต้องตุนอาหารไว้ที่บ้านโดยเฉพาะน้ำ เผื่อบ้านถล่มแล้วติดอยู่ข้างในจะได้ไม่อดตายก่อนที่เขาจะมาช่วยทัน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับโล่ห์กำบังให้ข้าพเจ้าลี้ภัย ที่ข้าพเจ้าไม่ต้องเจออะไรเลวร้ายมากนัก แต่ในส่วนลึกบางครั้งก็รู้สึกอเน็จอนาถว่าทำไมเราต้องเจอขนาดนี้ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าตื่นกลางดึกเพราะแรงสั่นต่อเนื่องของแผ่นดินไหว ( after shock ) ข้าพเจ้าไม่สามารถข่มตานอนให้หลับอีกจนสว่าง ทุกครั้งข้าพเจ้าจะร้องเพลงที่เรารู้จักกันดีจากพระธรรมอิสยาห์ เพื่อชูใจตัวเอง “ อย่ากลัวเลย เราจะอยู่กับเจ้า อย่าขยาด……..เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา ” วันเดือนผ่านไปการสั่นสะเทือนต่อเนื่องของแผ่นดินไหว ( After shock) ค่อย ๆจางลง อาการหวาดผวาของข้าพเจ้าค่อย ๆ หายดีขึ้นเป็นลำดับ แต่เหตุการณ์นั้นไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของข้าพเจ้าเลย เพราะ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณมากขึ้น ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงสันติสุขอันล้ำลึกจากการพึ่งและวางใจพระเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้ามีความเชื่อที่จะฝากชีวิตไว้กับพระเจ้าแบบหมดหัวใจ นอกจากนี้ยังทำให้ข้าพเจ้าเห็นใจคนญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์แห่งความสูญเสียนี้ ข้าพเจ้าเห็นใจและเข้าใจมากขึ้นกับการที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดจนภัยธรรมชาติหลากหลายชนิด ภาพการสูญเสีย บ้านเรือนปรักหักพัง ผู้คนไร้ที่อยู่ในสภาวะอากาศที่หนาวเย็น ภาพที่พวกเขายืนมองซากของบ้านตัวเองโดยไม่มีน้ำตาสักหยดที่จะไหลอีกต่อไป ทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาไหล ตั้งแต่นั้นเวลาที่เผชิญกับความขัดแย้งเกี่ยวกับงานวิจัยและการดำรงชีวิตในมหาวิทยาลัย พระเจ้าได้เปลี่ยนท่าทีของข้าพเจ้าโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้นและแน่นอนสิ่งที่ตามมาก็คือ ข้าพเจ้าสามารถให้อภัยได้ง่ายขึ้น ฮาเลลูยา ประสบการณ์ในการเปลี่ยนมุมมองคนที่ไม่น่ารัก ให้น่ารักมากขึ้น การเรียนรู้จักมองคน วิเคราะห์ ด้วยความเข้าใจ ด้วยจิตใจที่มีความรักของพระเจ้า นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่พระเจ้าสอนข้าพเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานโอกาสให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการมีส่วนร่วมในประสบประการณ์นี้ ข้าพเจ้าได้รับการเสริมสร้างให้เป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะสงบนิ่งท่ามกลางพายุแห่งความกลัว ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นคนที่เกิดผลและใช้การได้มากขึ้น ตราบจนทุกวันนี้พวกเรารุ่นแผ่นดินไหวโกเบยังนัดทานข้าวกัน และพวกเราก็ยังขนลุกขนพองกันทุกครั้งเมื่อหวลนึกถึงเหตุการณ์นี้ นับเป็นความกลัวที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าอย่างแท้จริง