ชีวิตที่สอดคล้องกับคำอ้าง

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอ้างว่าเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตที่คนคนนั้นแสดงออกมา น่าเชื่อถือ หรือสอดคล้องกับคำอ้างของเขาแค่ไหน ในกรณีของพระเยซูคริสต์ ชีวิตของพระองค์สอดคล้องตรงกับคำอ้างของพระองค์ ขอให้พิจารณาลักษณะพิเศษบางประการจากชีวิตของพระองค์ ดังนี้

คำพูดของพระเยซูคริสตเป็นคำพูดอมตะ

หากพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าดังที่อ้างจริง พระคำของพระองค์ย่อมต้องเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยกล่าวมา พระเยซูคริสต์เอง ตรัสว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย” (ลูกา 21:33) ซึ่งหมายความว่า คำพูดทุกคำที่พระองค์ตรัส จะต้องเป็นความจริงอมตะ สำหรับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และ ทุกชนชั้นทั่วโลก สังเกตได้ว่า พระคำของพระองค์ไม่เคยล้าสมัย และไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย

ในสมัยของพระองค์ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำพูดของพระองค์ ต่างประหลาดใจในคำสอนอันกอปรด้วยอำนาจ จนต้องยอมรับว่า ไม่มีผู้ใดพูดเหมือนพระองค์เลย “คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ” (ลูกา 4:32) “เจ้าหน้าที่ตอบว่า ‘ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย’ ” (ยอห์น 7:46) แม้ปัจจุบันพระคำของพระองค์ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทุกถ้อยคำที่พระองค์ตรัสนั้น เปี่ยมด้วยความจริง และความมั่นใจ หากเราพิจารณาคำพูดของพระเยซูคริสต์ เราจะไม่พบคำว่า “คิดว่า” “คงจะ” อาจจะ” หรือ “คาดคะเนว่า” เหมือนนักปรัชญา นักคิด หรือนักวิชาการทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์เน้นเสมอว่า “เรากล่าวกับท่านตามจริงว่า…”

พระองค์สอนด้วยความมั่นใจ ชัดเจน และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานของมนุษย์ที่แสวงหาคำตอบมาทุกยุคทุกสมัย เช่น พระเจ้าคือใคร พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับเราอย่างไร อะไรคือรากปัญหาของสังคม เราจะได้รับการยกโทษบาปอย่างไร เราอยู่ในโลกนี้ทำไม และตายแล้วไปไหน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องชัดเจน และมั่นใจได้เลย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานคำตอบให้ได้

พระคำของพระองค์มิใช่เป็นเพียงความจริงเกี่ยวกับชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นคำทำนายที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์อีกด้วย เช่น พระเยซูได้ตรัสกับสาวกล่วงหน้าถึงความตาย และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น และ พระองค์ทำนายถึงการพังพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70

“ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 16:21)

“โอ เยรูซาเล็มๆที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ ดูเถิด นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งและเริศร้าง” (มัทธิว 23:37-38)

หรือหากจะพูดถึงสถิติเกี่ยวกับคำพูดของพระเยซูคริสต์แล้ว ก็สามารถกล่าวว่า คำ สอนและคำพูดของพระองค์ มีคนอ่านมากที่สุดในโลก ได้รับการอ้างอิง โดยนักประพันธ์มากที่สุดในโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก และปรากฎในศิลปะ วรรณกรรม และดนตรีมากที่สุดในโลก นี่ย่อมแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และอิทธิพลของคำพูด อันประกอบด้วยลักษณะของผู้พูด คือ พระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ต้องเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความด่างพร้อยใด ๆ การแสดงออกของพระองค์ ในทุกความคิด ทุกคำพูด และทุก ๆ การกระทำ นับแต่เกิด จนกระทั่งตาย ไม่ว่าในขณะอยู่คนเดียว หรือเมื่อปรากฎต่อสาธารณชน จะต้องแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน จนกล้าท้าทายศัตรูของพระองค์ให้ชี้ถึงความผิดของพระองค์ ว่า “มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา” (ยอห์น 8:46) เงียบ ! ไม่มีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายศัตรู

สำหรับมนุษย์แล้ว ความรู้สึกว่าตนเป็นบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด หรือความบกพร่องใด ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดมาก คงมีผู้อ่านหลาย ๆ ท่านที่มีโอกาสศึกษาถึงประสบการณ์ส่วนตัวของนักบุญ หรือนักสอนศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะพบว่าเขาเหล่านั้นแต่ละคนต่างยอมรับถึงความบกพร่องที่ตนมีอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งนี้ เราไม่พบในประสบการณ์ของพระเยซูคริสต์เลย พระองค์สอนถึงเรื่องความผิดบาปของมนุษย์ และเน้นให้สาวกอธิษฐานสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า แต่ตัวของพระองค์เองนั้น พระองค์ไม่เคยสารภาพความผิดบาป เพราะไม่มีความผิดบาปที่จะสารภาพ

เพื่อนที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุด คือ สาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งได้มีโอกาสอยู่ กินนอน และปฏิบัติภารกิจด้วยกันทุกวัน ได้เป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์ว่า
“พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย และไม่ได้ตรัสคำเท็จเลย” (1เปโตร 2:22)ท่านอัครทูตยอห์น ได้เขียนไว้เช่นกันว่า
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย” (1ยอห์น 3:5)

แม้แต่ปีลาต ผู้มีหน้าที่ต้องพิพากษาพระเยซูคริสต์ในสมัยนั้น ก็ยังได้กล่าวยืนยันต่อฝูงชนว่า”เราไม่เห็นว่าคนผู้นี้มีความผิด” (ลูกา 23:4)
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ คือ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

พระเยซูคริสตสำแดงการมหัศจรรย์

เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ต่าง ๆ มิใช่ของใหม่สำหรับคนไทยเรา เรามักมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟังเสมอ แต่จะน่าเชื่อแค่ไหนนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาโดยรอบคอบ

ในกรณีของพระเยซูคริสต์ การอัศจรรย์ทั้งสิ้นที่พระองค์กระทำ เป็นส่วนสำคัญมาก ที่ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เพราะหากพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์จริงแล้ว เราย่อมคาดหวังว่าต้องมีการอัศจรรย์เกิดขึ้น

เอกสาร 4 ฉบับที่บันทึกเรื่องชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ (มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น) ได้เขียนถึงการอัศจรรย์มากมายที่พระองค์ทำ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า พระองค์แสดงอำนาจเหนือสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ

ก. อำนาจเหนือความเจ็บป่วย เช่น รักษาคนตาบอด (มารโก 8:22-25) คนหูหนวกและคนใบ้ (มาระโก 7:31-37) คนง่อย (ยอห์น 5:1-9)

ข.อำนาจเหนือผีร้าย เช่น พระเยซูทรงขับผีที่สิงในตัวคนออกไป (มาระโก 1:23-28; 9:14-29)

ค. อำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น พระเยซูทรงห้ามพายุให้สงบ (มัทธิว 8:23-26) เปลี่ยนน้ำธรรมดาเป็นเหล้าองุ่น (ยอห์น 2:1-11) เลี้ยงคนห้าพันคน ด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว (มัทธิว 14:15-21)

ง. อำนาจเหนือความตาย พระเยซูทรงทำให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ เช่น ลูกสาวนายธรรมศาลา (มาระโก 5:35-43) ลูกชายแม่ม่ายคนหนึ่ง (ลูกา 7:11-15) และ ลาซารัสแห่งเบธานี (ยอห์น 11:1-14)

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเยซูคริสต์กระทำ คือ พระองค์ประกอบการอัศจรรย์ส่วนใหญ่ต่อหน้ามหาชนอย่างเปิดเผย ซึ่งผู้ไม่เชื่อพระองค์สามารถสืบสวนหามูลความจริงได้ ที่สำคัญกว่านั้น คือ ศัตรูของพระองค์ในสมัยนั้นไม่ได้ปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่กลับหาหนทางกำจัดพระองค์ด้วยเหตุผลว่า”ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา” (ยอห์น 11:48)

นอกเหนือจากเอกสารบันทึกประวัติของพระเยซูคริสต์ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ยังมีเอกสารอื่น ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์ ที่เป็นหลักฐานยืนยันถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำด้วย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถึงเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ ชื่อ Antiquities ของ Flavius Josephus และแม้แต่พระคัมภีร์กุรอานของศาสนาอิสลามเอง ก็ได้กล่าวถึงความสามารถในการประกอบการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์

นี่ย่อมยืนยันว่า การอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เรื่องยกเมฆ แต่มีเหตุผล หลักฐาน ต่างๆรองรับอยู่อย่างหนักแน่น ทำให้เราเห็นความจริงข้อหนึ่งว่า พระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจสามารถกระทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้

พระเยซูคริสตเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก

คงไม่เกินความจริงมากไป หากจะพูดว่าพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก ในทุกยุคทุกสมัย นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น

Kenneth Scott Latourette นักประวัติศาสตร์เรืองนามท่านหนึ่ง ชื่อท่านเขียนไว้ว่า “พระเยซูคริสต์เป็นผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนมากที่สุดในโลก อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาในประวัติศาสตร์ และอิทธิพลที่พระองค์มีต่อชีวิตคนนั้น นับวันจะทวีขึ้นเรื่อย ๆ”พระเยซูคริสต์ใช้เวลาในการทำราชกิจของพระองค์เพียงสามปีเท่านั้น แต่เป็นสามปีที่มีความหมายสูงสุด เป็นสามปีที่ได้พลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลก ดังที่เราเห็นจากตัวอย่างข้อเท็จจริงเหล่านี้

พระเยซูไม่เคยเขียนหนังสือแม้แต่สักเล่ม แต่มีหนังสือในทุกชาติภาษาที่เขียนถึงเรื่องของพระองค์ พระเยซูคริสต์เป็นครูที่มีศิษย์มากที่สุดในโลก (จำนวนคริสตชนในปัจจุบันมีมากกว่าหนึ่งพันล้านคน) พระเยซูคริสต์ได้รักษาผู้ที่จิตใจฟกช้ำมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ตลอดทุกยุคทุกสมัย ในประวัติศาสตร์ มีคนจำนวนมหาศาล ยินยอมพลีชีพเพื่อพระเยซูคริสต์ ด้วยความจงรักภักดี ทั้งที่พระองค์มิได้เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหารหรือการเมือง ใช่แล้ว สามัญชนผู้นี้แหละ ที่คนจำนวนมากทั่วโลกยินดีมอบชีวิตของตน เพื่อติดตามพระองค์ ทำไมหรือ ? ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถเข้าใจ และเห็นใจในความอ่อนแอบกพร่อง ตลอดจนความทุกข์ และความเจ็บปวดในชีวิตของเรา และพระองค์ยังเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ในปัจจุบัน จึงสามารถเป็นที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนอยู่กับเราตลอดไปได้

พระเยซูคริสต์สามารถสนองตอบความต้องการส่วนลึกสุดของจิตใจมนุษย์

ทุกวันนี้ วิทยาการยิ่งก้าวหน้า ดูเหมือนว่ามนุษย์กลับยิ่งไม่มีความสุข มนุษย์มีความสามารถสารพัด เอาชนะธรรมชาติ พิชิตดวงจันทร์ แต่ไม่สามารถพิชิตตนเอง เพราะว่าปัญหาพื้นฐานของมนุษย์อยู่ที่จิตใจ ภายในจิตใจมนุษย์ คือช่องว่างที่ไม่อาจถมให้เต็มด้วยเงินทอง บ้านช่องสวยหรู อำนาจ ชื่อเสียง หรือกามารมณ์ นั่นเพราะเราแสวงหาในทางที่ผิด

Augustine นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เคยร้องทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์เอง จิตใจของเราไม่อาจพบความสงบสุขแท้ได้เลย จนกว่าเราพบความสงบสุขในพระองค์”

ทุกวันนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนต่อสู้ แก้ปัญหาทุกวิถีทางด้วยความสามารถที่จำกัดของตน โดยปราศจากพระเจ้า และหลายครั้งก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะสังคมมนุษย์จมดิ่งสู่ความชั่วมากขึ้นทุกที ยิ่งกว่านั้น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความว้าเหว่ ความว่างเปล่า และความกลัว ได้ครอบงำจิตใจของมนุษย์มากขึ้น ๆ จนเราไม่แน่ใจว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไรกันแน่ ท่ามกลางความสิ้นหวังของสังคมมนุษย์นี้เอง พระเยซูคริสต์ได้ก้าวเข้ามา พร้อมกับอาสาที่จะแก้ไขปัญหาหลักของมนุษย์

โปรดฟังคำท้าชวนของพระองค์ต่อไปนี้ ด้วยจิตใจที่พินิจพิจารณา

“บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28)

“เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)

“ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม” (ยอห์น 7:37)

“เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ยอห์น 6:35)

“เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)

ความสรุป

คำตรัสเชิงท้าชวนให้ทุกคนมาสัมผัสชีวิตของพระองค์ ตามที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดสวยงามที่ปรากฎบนแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ด้วยชีวิตจริง ร่วม 2,000 ปี คนจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วโลก ในทุกประเทศ ทุกยุคสมัย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูคริสต์ที่เขาต้อนรับเข้าสู่ชีวิตของเขานั้น ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาใหม่ สร้างค่านิยมใหม่ มอบสันติสุขใหม่ และให้ความหวังใหม่แก่เขา ในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย

ทุกวันนี้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่พระชนม์อยู่ ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ในประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของเรา โดยยอมมอบความศรัทธาไว้กับพระองค์

จากหนังสือ เรื่อง “เยซูคือใคร”

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)